PitaPata Dog tickers
Riding Momory
สวัสดีค่ะ

ฝนตกหนักจนน้ำท่วมถนนเลย

หนูต้องขออภัยที่หายหน้าไปน้านนานเลย ก็ป่าป๊าหน่ะสิมัวแต่ทำอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็ไปตลาด, ไปเอาของที่ไปรษณีย์, ไปดูของที่Index Living Mall, ทำกับข้าว, ช่วยหม่าม้าซักผ้า, พาหมาไปเดิน, อาบน้ำให้หมา, เล่นกับหมา เอาอาหารให้หมา ฯลฯ เอ่อไอ่สี่ข้อหลังนั่นหน่ะมันเรื่องสำคัญจริงๆไม่ว่ากันเนาะ แฮ่ม เอาเป็นว่าหนูจะพยายามเตือนป่าป๊าให้มาเล่าเรื่องต่างๆของหนูบ่อยๆก็แล้วกันนะคะ

ตั้งแต่วันเกิดหนูเป็นต้นมาฟ้าฝนตกหนักทุกวันโดยเฉพาะในวันเกิดหนูเลย ฝนตกตั้งแต่บ่ายแก่ๆจนเย็นจนน้ำนองเอ่อท่วมถนนจวนจะถึงขอบฟุตบาทอยู่แล้ว หนุเลยได้แต่นั่งแกร่วที่บ้านไม่ได้ออกไปเดินไปวิ่งกับป่าป๊า ที่สนามก็แฉะเล่นไม่ได้เซ้งเซ็ง หลังจากนั้นมาหนูแทบไม่ได้ออกเดินออกวิ่งกับป่าป๊าเลย จนกระทั่งฝนหยุดตกเมื่อสามสี่วันมานี้เอง


ทุ่งนาข้างบ้านตอนฝนตก

พูดถึงตอนไปเดินกับป่าป๊าหนูมักจะชอบดมโน่นดมนี่และบางทีก็แอบชิมด้วย ทำให้ป่าป๊าโมโหกระตุกสายจูงทุกครั้งที่จับได้ แล้วก็บ่นว่าสกปรกบ้างละ ไม่อร่อย เอ้ย กินไม่ได้บ้างละ มีเชื้อโรคบ้าง ต่างๆนาๆ จริงๆแล้วหนูก็แค่อยากชิมดูว่ามันเป็นอะไร เป็นอาหาร หรือของกินรึปล่าว จะได้ช่วยป่าป๊าประหยัดค่าขนมของหนูไง ไม่เข้าใจกันบ้างเลย แต่ก็เอาเหอะหนูรู้ว่าเค้าคงห่วงหนูถึงได้ห้ามไม่ให้หนูกินไปเรื่อย แถมยังไปหาข้อมูลจากเว็บของหมอ สแตนลี่ย์ โคเรน(Dr. Stanley Coren)มายืนยันด้วยนะคะ ลองอ่านดูค่ะ


เล่นบ๊อลบอลด้วยกันมั้ย

เมื่อเปรียบเทียบกับสัมผัสของการดมกลิ่นแล้ว น้องหมาดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับรสสัมผัสมากนัก เพราะดูเหมือนกับว่าอะไรก็ตามที่เข้าปากได้ก็คืออาหารหรือของกินไม่ว่ามันจะมีรสชาติอย่างไรก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีต่อเค้าเท่าไหร่ เพราะอาหารของกินของคนหลายๆอย่างเป็นพิษภัยกับน้องหมา อย่างเช่นช็อคโกแลต ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าการให้รางวัลสุนัขด้วยการให้ช็อคโกแลตน่าจะเป็นสิ่งพิเศษสำหรับเค้า โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆที่มีช็อคโกแลตร่วมด้วยยิ่งแล้วใหญ่ บางทีก็เผลอวางไว้ในที่สุนัขคาบถึงกลายเป็นของว่างของเจ้าตูบมันซะเลย คาเฟอีน (caffeine)และธีโอโบรมีน(theobromine)ที่มีอยู่ในช็อคโกแลตนมหนึ่งแท่งสามารถทำให้น้องหมาน้ำหนัก10ปอนด์ป่วยหนักได้ สีที่เข้มขึ้นของช็อคโกแลตก็หมายถึงปริมาณของส่วนผสมดังกล่าวยิ่งเข้มข้นขึ้น และในปริมาณที่เท่ากันช็อคโกแลตที่ใช้ทำขนมถ้าสุนัขน้ำหนัก10ปอนด์ตัวนั้นกินเข้าไปก็อาจถึงตายได้

หัวหอมกับกระเทียมก็เป็นอาหารต้องห้ามของหมาด้วยเหมือนกัน ปริมาณอันมากมายของกำมะถัน(sulfur)ในพืชผักเหล่านี้จะไปทำลายเม็ดเลือดแดงก่อให้เกิดโรคโลหิตจางอย่างรุนแรงได้


เอ รสชาติมันเหมือนอะไรน้า นึกไม่ออก

แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่ใช่ของกินหรืออาหารก็สามารถล่อใจสุนัขได้ เช่น ในออสเตรเลีย คุณพี่หมาบ็อกเซอร์(boxer) อายุ18เดือนชื่อคิตตี้(Kitty) มีอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ คุณหมอให้ยากินก็แล้วยังไม่ดีขึ้น เจ้าของเลยลองเปลี่ยนคุณหมอที่รักษา คุณหมอคนใหม่ตัดสินใจผ่าตัด และก็ได้มีดหั่นขนมปังยาว12นิ้วออกมาจากพุงกระทิพี่คิตตี้ เคราะห์ดีที่ไม่ไปบาดกระเพาะเป็นแผลสาหัส (ปัจจุบันนี้พี่เขาก็หายดีเป็นปกติแล้ว) นี่ละหนอปากหนอปาก เอ ที่พวกคนชอบใช้คำเรียกคนอื่นว่าปากสุนัขหรือปากหมานี่จะหมายถึงเค้ากินไม่เลือกไม่ว่าจะเป็นอิฐ หิน ดิน ทราย ได้ทุกอย่าง ช่างเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษจริงๆ

แล้วพบกันใหม่นะคะ บ๊ายบายค่ะ

ไมโล


Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีค่ะ

วันนี้หนูมีอายุได้หนึ่งขวบแล้วนะคะ ถ้าเทียบกับอายุของคนหนูก็จะมีอายุได้ 14ปีได้แล้วหละ เนี่ยลองเทียบอายุหนูในตารางดูสิ หนูเอามาจาก dogcollection.igetweb.com ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ


ตารางเปรียบเทียบอายุสุนัขกับคน


อายุสุนัข
คูณด้วย
เทียบเท่าอายุคน
เดือน
7
14 เดือน
เดือน
10
ปี
เดือน
12.5
ปี
12 เดือน (1ปี)
14
14 ปี
18 เดือน (ปีครึ่ง)
13.3
20 ปี
ปี
12
24 ปี
ปี
10
30 ปี
4ปี
9
36 ปี
ปี
8
40 ปี
ปี
7
42 ปี
ปี
7
49 ปี
ปี
7
56 ปี
ปี
7
63 ปี
10 ปี
6.5
65 ปี
11 ปี
6.5
71 ปี
12 ปี
6.3
75 ปี
13 ปี
6.2
80 ปี
14 ปี
6
84 ปี
15 ปี
5.8
87 ปี
16 ปี
5.6
89 ปี


เป็นไงคะ กำลังวัยรุ่นต้นๆเลยนะเนี่ย แต่พอดูช่องถัดๆลงมาก็ใจไม่ด๊เลย ก็มันดูแก่เร้วเร็วอ่ะ คิดดูสิอีก7ปีหนูจะมีอายุคนมากกว่าป่าป๊าหนึ่งปีแล้ว ป่าป๊าก็ต้องเรียกหนูว่าพี่หล่ะสิ แหว่ะ ดูเฒ้าเฒ่า เฮ้อ ช่างมันเถอะอยู่กับปัจจุบันอย่างใจสุข ไม่ไปเครียดกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง(ยังไงก็มาถึงแน่ๆอยู่แล้ว)ดีก่าเอ้ยดีกว่า(ยังติดพันเรื่องเพื่อนกิ้งก่าเมื่อวานนี้น่ะ) อ้อ เมื่อเช้านี้ตอนหนูไปเดินกับป่าป๊า หนูก็ได้ร่วมใจใส่บาตรกับป่าป๊าด้วย หนูยังได้ยกมือสวัสดีพระท่านด้วยนะตอนที่ท่านให้พรหน่ะ เสียดายไม่ได้ถ่าย(รูป)ให้ดู คุณป้าที่ใส่บาตรด้วยกันยังอวยพรให้หนูได้เกิดเป็นคนในชาติหน้า งั้นหนูก็ขออวยพรผู้อ่านทุกท่านได้เกิดเป็นคนเหมือนกันนะคะ สาธุ


วันนี้พี่ช้างให้ป่าป๊าเรียกช่างตัดหญ้ามาตัดหญ้าที่สนาม ช่างบอกต้องคิดเงินเพิ่มจากเดิม500เป็น800บาทเพราะหญ้าขึ้นยาวมากเนื่องจากปล่อยไว้นานเกินไป(ประมาณสองเดือนได้แล้ว)

ตอนที่ภรรยาของช่างกำลังถอนพวกวัชพืชออกกระบะต้นไม้ ป่าป๊าได้ถามเรื่องต้นไม้ล้มลุกต้นหนึ่ง ซึ่งป่าป๊าได้ปล่อยให้มันโตขึ้นมาสูงเลยเข่าเล็กน้อยว่าเป็นต้นอะไร ป้าเค้าบอกเป็นต้นโทงเทง มันมีลูกกินได้มีรสหวานๆเปรี้ยวนิดๆ โดยผลมันรูปร่างแปลกดี มีลักษณะเป็นตุ้มห้าเหลี่ยมปลายเรียวแหลมมีลายคล้ายใบไม้สีเขียว เมื่แก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มน้ำตาล ข้างในมีผลกลมรีเล้กน้อยขนาดประมาณมะเขือพวงมีเมล็ดเล็กๆภายใน ผลอ่อนสีเขียวอ่อนเมื่อสุกเป็นสีเหลืองส้ม ป่าป๊าเลยหาข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ดังนี้ค่ะ

โทงเทง

ชื่อสามัญไทย โทงเทง ปุงปิง ตอมต๊อก หญ้าถงเถง มะถ่องเข้า ตะเงหลั่งเช้า โคมจีน เผาะแผะ


ชื่อสามัญอังกฤษ Sunberry, Gooseberry, Cape gooseberry, Cutleaf ground cherry, Lanceleaf groundcherry

ชื่อท้องถิ่น ชักพล็อก (สงขลา) ปุงปิง (ชุมพร)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Physalis minima Linn., Physalis angulata Linn.

วงศ์(family) SOLANACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ โทงเทงหรือปุงปิงเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก อายุปีเดียว พบได้ทั่วไปตามพื้นที่เปิดใหม่ หรือตามป่าโล่ง ตามลำตะคองที่มีแสงอาทิตย์ส่องตรง ถือว่าเป็นวัชพืชในสวนยางพาราใหม่ และพบในประเทศเขตร้อนทั่วโลก
โทงเทง เป็นพืชตะกูลเดียวกับพริกและมะเขือเทศ ลำต้นอวบน้ำเปลือกเกลี้ยงสีเขียว โคนสีม่วงแดงและสีค่อย ๆ จางลงเป็นสีเขียวใสเป็นเหลี่ยม ยอดเป็นสีเขียวอ่อน ลำต้นสูงประมาณ 25 - 50 เซนติเมตร สูงเต็มที่ 120 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา


ใบ เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเรียงสลับออกตามข้อ ๆ ละใบ มีก้านยาว 2 - 3 เซนติเมตร ลักษณะใบคล้ายใบพริก รูปหอกป้าน ปลายแหลมและขอบใบเรียบ ใบกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร มีเส้นแขนงใบ 5 - 7 คู่

ดอก ออกระหว่างก้านใบกับลำต้น ดอกเล็กคล้ายดอกพริก แต่กลีบดอกสั้นและแข็งกว่า ดอกตูมทรงรีปลายแหลม เวลาบานเป็นรูปแตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2 เซนติเมตร กลีบดอกชั้นในมีสีเหลืองอ่อน กลีบดอกชั้นนอกหรือกลีบเลี้ยงมีสีเขียวอ่อน จำนวน 5 กลีบ ซึ่งจะเจริญเติบโตขยายตัวหุ้มผลภายในไว้หลวม ๆ ทำให้ดูเสมือนว่าผลพอง ออกดอกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เรื่อยไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน

ผล ผลโทงเทงมีกลีบดอกชั้นนอกหุ้มเหมือนโคมจีนสีเขียวอ่อนมีลายสีม่วง ผลภายในมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร ผลกลมใสมีสีเขียวอ่อน และเมื่อสุกกลายเป็นสีเหลือง

เมล็ด ในผลมีเมล็ดขนาดเล็กมีจำนวนมาก รูปกลมแบน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.2 - 0.3 มิลลิเมตร มีเมือกหุ้มคล้ายมะเขือเทศจำนวนมาก


การปลูก ปกติแล้วโทงเทงสามารถขยายพันธุ์ตามธรรมชาติโดยใช้เมล็ด การปลูกโทงเทงในเชิงการค้านั้นเป็นโทงเทงพันธุ์จากต่างประเทศ ส่วนพันธุ์พื้นบ้านนั้นยังไม่มีการพัฒนาพันธุ์

การขยายพันธ์ โทงเทงเจริญได้ทั่วไปในดินปนทราย พบได้ทั่วไปในทั่วทุกภาคบริเวณที่ลุ่ม หรือที่ดินเปิดใหม่ การขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

การใช้ประโยชน์ ผลอ่อนและยอดอ่อน ใช้ต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือใช้แกงอ่อมและแกงเลียง มีรสขม

ผลสุก ใช้กินได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมโดยทั่วไป มีโทงเทงบางสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ต่างประเทศที่มีผลขนาดใหญ่ขึ้น มีรสหวานและหอม เป็นที่นิยมบริโภค

การใช้ประโยชน์โทงเทงทางสมุนไพรนั้น ใช้ทั้งต้นโขลกละลายสุรา กินแก้ทอนซิลอักเสบ แผลในปาก หรือใช้ต้นไปต้มทำเป็นยาขับปัสสาวะ ฝีในคอ ปัสสาวะขัด ไอ หืด ส่วนผลนั้นแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ คออักเสบ ร้อนใน กระหายน้ำ ทาแก้แผลเปื่อย เมล็ด สามารถใช้เป็นยาแก้การเป็นหมัน มีการใช้โทงเทงในรูปของชาสมุนไพร แก้ไข้ ร้อนใน ปัสสาวะเป็นเลือด แต่สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน


ในต่างประเทศ (ประเทศบราซิล) พบว่าผงจากรากมีสารเสพติดคือ Hygrine alkaloids

ในท้องถิ่นภาคใต้แถบจังหวัดสงขลา เด็ก ๆ ใช้ลูกโทงเทงหรือชักพล็อกมากระแทกที่หน้าผาก จะมีเสียงดังเป๊าะ ก่อให้เกิดความสนุกสนานตามประสาเด็กในชนบท

โทงเทงมีส่วนที่เป็นพิษคือ กลีบเลี้ยง มีสารพิษ Solanine ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร จะมีอาการเมื่อกินเข้าไปแล้วหลายชั่วโมงจะปวดแสบปวดร้อนที่ปากและคอหอย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง และท้องร่วง อุรหภูมิร่างกายสูง เป็นต้น ถ้ายังไม่อาเจียนออกจะต้องล้างท้อง ให้น้ำเกลือ ระวังอาการไตวาย ให้ยาเคลือบกระเพาะอาหาร หรือถ้ามีอาการชักให้ใช้ยาแก้ชัก

การตลาดและลู่ทางการค้า โทงเทงพันธุ์พื้นเมืองไม่มีขายในท้องตลาดปัจจุบัน(ตลาดจังหวัดสงขลา) ยกเว้นพันธุ์ต่างประเทศที่มีขายในตลาดเฉพาะ เช่น โครงการหลวง ราคาขายค่อนข้างแพง (250 กรัม ราคา 50 บาท ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2549)


ในปัจจุบันที่อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ มีการปลูกโทงเทงเพื่อการค้า โดยปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลสด 20 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาขายกิโลกรัมละ 100 บาท

บริษัท Ayurveda Asia ที่เชียงใหม่ ผลิตชาสมุนไพรจากโทงเทงโดยขายเป็นถุงชาจำนวน 10 ถุง ราคา 30 บาท และเป็นแคปซูลในขวด 50 เม็ด ราคา 100 บาท

ขอขอบคุณข้อมูลจาก โครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พันธุ์ผักและไม้ผลพื้นเมืองภาคใต้ นะคะ

หลังจากได้ข้อมูลแล้วป่าป๊าก็บ่นเสียดายที่ไม่ได้เก็บเอาไว้ เลยได้แต่เก็บรูปแล้วเอามาให้คุณๆดูเล่นๆ

ขอให้มีแต่ความสุขในวันเกิดหนูนะคะ บ๊ายบายค่ะ

ไมโล


Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีค่ะ

เมื่อวาน(16 ตค.)หนูไปหาคุณหมอจิ๊บตามที่คุณหมอได้โทรมาเตือนป่าป๊าเมื่อวานซืน ชั่งน้ำหนักได้ 34.4 กก. เท่าสัปดาห์ที่แล้ว และพี่ชุดแดงวัดอุณหภูมิทางก้นด้วยแท่งแก้วเย็นๆได้ 102 ํF ทะเลมีคลื่นเล็กน้อย เอ้ยเป็นอุณหภูมิปกติ ไม่มีไข้ คุณหมอได้ขูดเอาผิงหนังตรงขาหลังด้านซ้ายไปส่องกล้องจุลทรรศน์ตรวจหาเชื้อ(ตัวไร Demodex) ปรากฏว่าไม่เจอ (ไชโยโห่ฮิ้ว!) ที่โคนหางขนก็เริ่มงอกเยอะขึ้น คุณหมอบอกจะหยุดจ่ายยากิน แต่ให้ใช้แชมพูยาต่อไป ส่วนสาเหตุที่ง่ามนิ้วเท้า(ก็หนูไม่มีนิ้วมือไง)มีผื่นแดงเห่อนั้นเป็นเพราะหนูแพ้สารต่างๆเช่น ดินหรือความชื้น และเชื้อราซึ่งคุณหมอบอกมันเป็นเชื้อที่ชอบฉวยโอกาสในทุกโรคผิวหนังเลย (แหม ถ้าพวกนักฟุตบอลศูนย์หน้าทีมชาติไทยเป็นอย่างเชื้อราบ้างก็ดีเนาะ จะได้ฉวยโอกาสทำประตูคู่ต่อสู้เยอะๆเผื่อจะได้ไปบอลโลกกับเขามั่ง แล้วหนูจะยกย่องให้เกียรติตั้งฉายาให้เลย เช่น ซิโก้เชื้อรา, ลีซอเชื้อรา เป็นต้น) ซึ่งแชมพูยาก็สามารถบรรเทาได้ แต่ยังไงก็ควรระวังอย่าให้หนูไปเล่นน้ำแฉะๆ ย่ำดินเปียกๆ น้ำครำโคลนเลนสกปรก เดี๋ยวจะทำให้หนูมีอาการแพ้ขึ้นมาอีก ป่าป๊าเลยขอให้คุณหมอจ่ายครีมทาผิวหนังแก้แพ้อักเสบเผื่อไว้ ส่วนที่ยังมีรอยแผลนั้นคุณหมอให้ทายาเบทาดีนเอาเดี๋ยวก็หาย


พูดถึงเรื่องนี้ทำให้หนูนึกถึงเรื่องที่หนูชอบวิ่งไล่เจ้าตัวประหลาดหางยาวคล้ายจิ้งจกแต่ตัวใหญ่กว่า ป่าป๊าเรียกมันว่ากิ้งก่า มันชอบอยู่บนต้นไผ่บ้าง ต้นกุหลาบบ้าง บางทีมันก็ออกมาวิ่งในสนามหญ้า ตอนหนูเจอมันครั้งแรกมันอยู่บนต้นกุหลาบดอกสีชมภู มันตกใจกระโดดลงมาบนพื้นสนามหญ้าหนูก็ตกใจกระโดดถอยหลัง มันหยุดมอง หนูก็เลยเดินเข้าหามันจะขอดมๆสักหน่อย มันกลับวิ่งหนีไปเร็วปรื๋อเลย แล้วก็หยุดอีก พอหนูเข้าไปหามันใกล้ๆมันก็วิ่งอีก วิ่งๆหยุดๆ จนมันปีนขึ้นต้นโมกหลวงต้นใหญ่ หนูรอมันปีนลงมาตั้งนานก็ไม่ยอมลง ก็เลยเลิกเล่น ตั้งแต่นั้นมาหนูเจอมันทีไรก็จะชวนมันวิ่งไล่กันตลอดเลย พอดีหน้าฝนสนามหญ้าแฉะอีกทั้งหนูมีปัญหาเรื่องผิวหนังป่าป๊าก็เลยไม่ให้เล่นอีกยกเว้นไปฉี่ไปอึ๊ แล้วพาหนูไปเดิน-วิ่งที่สวนหย่อมและตามซอยต่างๆในหมู่บ้านซึ่งทำให้หนูรู้จักกับเพื่อนๆเยอะเลยไว้จะแนะนำให้รู้จักกันวันหลังนะคะ วันนีหนูขอแนะนำเจ้ากิ้งก่าคู่ปรับให้รู้จักก่อนก็แล้วกัน พอด๊ป่าป๊าเจอมันวันก่อนและได้ถ่ายรูปมันไว้ให้หนูเอามาโชว์ค่ะ

หม่าม้าได้ถามคุณหมอเรื่องจะเปลี่ยนอาหารให้หนูเป็นอาหารสุนัขโตสูตรปลาหรือสูตรข้าวโพดดี คุณหมอแนะนำว่าก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากบำรุงน้องหมาเราอย่างไรเช่นถ้าหากอยากให้มีขนสวยเป็นเงางามก็ใช้สูตรปลา(มันมีน้ำมันปลาซึ่งช่วยบำรุงขน) แต่ถ้าเป็นสูตรข้าวโพดก็จะช่วยควบคุมน้ำหนักทำให้หุ่นดีเนื่องจากมีใยอาหารเยอะนั่นเอง ที่จริงยังมีอีกหลายสูตรให้เลือก เดี่ยวป่าป๊าจะหาข้อมูลมาให้อ่านนะคะยกเว้นสูดเตี๋ยวคงจะไม่มีแน่ๆ(อิอิ) ตอนท้ายหม่าม้าเค้าสงสัยว่าที่ถุงใส่อาหารหนู(เป็นอาหารสำหรับลูกสุนัขพันธ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์(Labrador Retriever Breed)ของรอแยลคาไนน(Royal Canin)ชนิดเม็ด)เขียนว่าสำหรับลูกสุนัขอายุ1ถึง15เดือน แต่ที่ฟาร์มเกิดของหนูบอกว่าให้เปลี่ยนอาหารเมื่อหนูอายุได้12เดือน คุณหมอก็บอกว่าสามารถเปลี่ยนได้โดยดูได้จากที่หนูโตเร็วมีรูปร่างใหญ่เกือบเต็มที่แล้ว ออกจะอ้วนไปนิดนึง แล้วอาหารสำหรับลูกสุนัขมันจะมีโปรตีนและสารอาหารต่างๆสูง อาจทำให้อ้วนได้ง่าย แต่ถ้าจะกินต่อไปตามฉลากก็ได้เพียงแต่ลดปริมาณลงให้พอเหมาะกับความต้องการของร่างกายหนู(แต่ใจหนูบอกมากๆยิ่งดีฮ่ะ)

สรุปหม่าม้าบอกว่างั้นก็ให้หนูกินอย่างเดิมก็แล้วกัน ป่าป๊าเองอยากจะให้เปลี่ยนเป็นสูตรปลาเพราะเค้าก็ชอบกินปลาเหมือนกัน หม่าม้าเลยว่าป่าป๊าประสาทแล่ก! จบข่าว.

แล้วพบกันใหม่น้า บ๊ายบาย

ไมโล
Saturday, October 17, 2009






Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีค่ะ

เมื่อวันเสาร์หนูได้ไปหาคุณหมอจิ๊บอีกแล้ว วันนี้หนูชั่งน้ำหนักได้ 34.4กก. ป่าป๊าดูจะชอบใจที่หนูผอม(?)ลงตั้ง 6 ขีด หลังจากที่พี่ชุดแดงอุ้มหนูขึ้นไปยืนขาสั่น(หม่าม้าบอกสงสัยจะกลัวโดนฉีดยา)บนโต๊ะเหล็กสูงขนาดสะดือป่าป๊า คุณหมอได้ใช้ปากคีบ(ไม่ใช่ปากคุณหมอจริงๆนะ)หรือแหนบเล็กๆมาดึงขนที่หัวและหางหนูเอาไปตรวจปรากฏว่าไม่เจอตัวไรเลย คุณหมอบอกอาจเป็นเพราะหนูได้อาบน้ำเมื่อเช้านี้เลยหาไม่เจอ คุณหมอเลยให้งดอาบน้ำสองวันก่อนมาคราวหน้า(วันที่ 16 ตค.) จะได้ตรวจใหม่ว่ามีเชื้ออยู่หรือเปล่า

คุณหมอบอกอาการโดยรวมดีขึ่้น ตุ่มแดงใต้ท้องหายไปแล้วจะมีก็ตรงซอกขาหนีบบ้างเล็กน้อย แต่ตรงแก้ม ขาหลังด้านนอกทั้งสองข้างก็ยังมีแผลอยู่ให้ใช้ยาเบทาดีนทา ตรงโคนหางดีขึ้นขนเริ่มขึ้นแล้ว แต่ยังไงก็ตามหนูก็ต้องกินยา และใช้แชมพูยาต่อไป จนกว่าคุณหมอตรวจครั้งหน้าถ้าไม่เจอเชื้อแล้วก็อาจหยุดยาได้


วันนี้คุณหมอได้ให้ยาลดคันเม็ดเล็กๆสีเหลือง กินมื้อละเม็ด เช้า-เย็น, ยาแก้อักเสบเม้ดสีขาว มื้อละเม็ดครึ่ง เช้า-เย็น, ยาVibraVet วันละหลอด คุณหมอบอกยานี้จะขมมากให้ป่าป๊าผสมกับน้ำหวานให้หนูกิน และยาเบทาดีนสำหรับทาแผล (ครีมทาผิวหนังที่เหลือจากคราวที่แล้วก็ให้ทาตรงโคนหาง) เฮ้อ! เสร็จซะที ยืนจนปวดขาจะแย่แล้ว เป็นน้องหมานี่ก็เรื่องเยอะเหมือนกันเนาะ(อันนี้เคยได้ยินป่าป๊าบ่น)

วันก่อนป่าป๊าเค้าอยากรู้ที่มาของน้องหมาพันธู์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เป็นมายังไง ก็เลยหาดูในเน็ทแล้วก็นำมาให้คุณๆที่สนใจน้องหมาพันธู์หนูอ่านดูนะคะ

ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)


ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ มีต้นตระกูลอยู่ที่ Newfoundland ชายฝั่งทะเล ประเทศแคนาดา และในช่วงต้นศตวรรษที่19 ได้มีการนำสุนัขพันธุ์นี้ไปยังประเทศอังกฤษทางเรือประมง และต่อมาก็ได้มี การพัฒนาสายพันธุ์และเลี้ยงขึ้นมาในฐานะสุนัขล่าเหยื่อ และยังถูกใช้เป็นสุนัขกู้ภัย เพราะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วแม้ในภูมิประเทศที่ขรุขระ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความอดทน เข้มแข็ง มีความสามารถในการดมกลิ่นดีเยี่ยม มีความปรารถนาจะเอาใจผู้อื่นอีกด้วย และเป็นสุนัขที่ขี้เล่นกับเจ้าของมาก

ช่วงชีวิตเฉลี่ย
ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ มีช่วงชีวิตระหว่าง 12-15 ปี

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์
สุนัขพันธุ์ ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ฉลาดหลักแหลม กระตือรือร้น รักสนุก ช่างเอาอกเอาใจเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กประกอบกับการที่ เป็นสุนัขเฝ้ายามที่ดีเนื่องจากมีเสียงเห่าทุ้มและ หนักแน่น เป็นที่น่าเกรงขามเพื่อเตือนเมื่อมีผู้บุกรุก

ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
เหมาะมากสำหรับการเข้ากับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น


ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล
สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ ต้องมีคอกที่ใหญ่และมีรั้วสูงล้อมรอบ ในฤดูร้อนก็ควรมีพื้นที่มีร่มเงาสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ด้วย เช่นเดียวกับสุนัขทั่วไป พวกเขาจะมีความสุขมากกว่าหากมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง สำหรับสุนัขที่โตแล้ว ควรให้เขาเดินได้วันละ 30 นาที จะทำให้พวกเขาแข็งแรง ในขณะที่สำหรับลูกสุนัข จะใช้เวลาในการเล่นทั้งวัน สำหรับผู้ที่คิดจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้บ้านของคุณควรมีบริเวณสนามหลังบ้าน ไว้ให้พวกเขาได้วิ่งเล่น และพวกเขายังเป็นจอมเคี้ยวและจอมขุดตัวยงอีกด้วย ถ้าคุณอยากให้สวนของคุณ สวยเหมือนเดิม ให้เตรียมกั้นรั้วไว้ว่าบริเวณไหนที่คุณจะอนุญาตให้เขาเล่นได้ เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้จะอ้วนง่ายเวลาที่มีอายุมากขึ้นซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ดังนั้นจึงควรดูแลอาหารการกินที่มีปริมาณและคุณค่าทางอาหารเหมาะสมตามวัยของสุนัข

ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
ลูกสุนัขพันธุ์ ลาบราดอร์ จะร่าเริงและควบคุมได้ยากสำหรับสมาชิกในครอบครัวซึ่งเป็นเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ และเจ้าของสุนัขพันธุ์ควรมีสนามหลังบ้านซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดอีกด้วย สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่อ้วนง่าย ควรให้ออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ

ขอขอบคุณที่มา : http://th.wikipedia.org

แล้วพบกันใหม่ บ๊ายบายน๊า

ไมโล


Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีวันไหว้พระจันทร์ค่ะ

วันนี้(3 ตค.)ตอนเช้าป่าป๊ากับหม่าม้าได้ทำพิธีไหว้บรรพบุรุษอากงอาม่าทั้งหลาย และได้เอาของไหว้ซึ่งเป็นขนมและุผลไม้ไปไหว้พระพรหมที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน โดยมีหนูไปนั่งน้ำลายไหลด้วย เพราะหลังจากไหว้เสร็จป่าป๊าก็จะพาหนูเดินออกกำลังกายเลย(หนูจะออกเดินเช้ากับเย็น ถ้าฝนไม่ตกนะ)
ยาของไมโล
1.ยาลดคัน 2.ยาแก้อักเสบ 3.ยารักษาผิวหนัง VibraVet 4.ครีมทาผิวแก้ตุ่มผื่นแดง(ไม่มีในรูป)

ตอนบ่ายแก่ๆหนูก็ไปหาหมอจิ๊บกับป่าป๊าและหม่าม้า วันนี้ชั่งน้ำหนักได้ 35 กก. พอดีเลย ป่าป๊าบ่นว่าหนูอ้วนขึ้นอีกแล้ว หลังจากคุณหมอจิ๊บได้ตรวจดูผิวหนังของหนูแล้วก็บอกอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เลยขอขูดผิวหนังไปตรวจหาเชื้อในห้องแล็บตั้งสองหนแน่ะ ครั้งที่สองคุณหมอขูดจนเลือดออกซิบๆเจ้บเจ็บเลย แถมยังให้หนูเข้าห้องมืดๆเพื่อดูเชื้อ(เชื้อมันจะเรืองแสง)อีกด้วย แล้วคุณหมอก็วินิจฉัยว่าหนูน่าจะเป็นโรคเรื้อนเปียกหรือโรคเรื้อนรูขุมขน เกิดจากไรดีโมเด็กซ์(Demodex canis or Demodex injai) คุณอาจประหลาดใจถ้าทราบว่าเจ้าไรดีโมเด็กซ์หลากหลายสายพันธุ์แฝงตัวอยู่บนตัวเราและน้องหมาโตทุกตัวแต่มันไม่ได้ทำให้เดือดร้อนหรือทำให้รำคาญแต่อย่างใดจนกว่าภูมิต้านทานต่ำมันจึงจะเล่นงานเรา ป่าป๊าได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับโรคนี้ เผื่อคุณๆจะสนใจค่ะ

ขี้เรื้อน หรือ โรคเรื้อน เกิดจากสัตว์ตัวเล็กๆ 8 ขา ที่เราเรียกว่า "ไรสุนัข" (Mites)
ไรสุนัข หรือ ไมท์มีอยู่หลายชนิด อันเป็นที่มาของโรคผิวหนังแตกต่างกัน ซึ่งว่าไปแล้วโรคผิวหนังในสุนัขไม่ได้มีสาเหตุมาจากไรทั้งหมด โรคผิวหนังอาจเกิดได้จากแบคทีเรีย รา ความบกพร่องต่างๆ ของร่างกายสุนัข และโรคภายในบางอย่างก็ทำให้เกิดมีอาการขนร่วงคล้ายกับเป็นโรคผิวหนังได้ ซึ่งเหล่านี้ควรได้รับการตรวจและวินิจฉัยจากสัตว์แพทย์ อย่างไรก็ตามโรคผิวหนังที่พบมากและบ่อยครั้งมักเกิดจากไรสุนัข หรือไมท์

คนสมัยก่อนแบ่งขี้เรื้อนเป็นสองประเภท คือ ขี้เรื้อนเปียก กับขี้เรื้อนแห้ง โดยแยกตามลักษณะอาการหรือวิการที่เห็นว่าลักษณะเปียก มีน้ำเหลือง หนอง เลือดไหล ก็จัดเป็นขี้เรื้อนเปียก ถ้าตรงข้ามก็เป็นแบบแห้ง ขี้เรื้อนของคนไทยแปลมาจากคำว่า manges ซึ่งแปลว่าโรคผิวหนังที่เกิดจากไรสุนัข ไรสุนัขอย่งที่กล่าวมาแล้วมีหลายชนิด แต่ชนิดที่เห็นบ่อยๆ และเด่นๆ มี 3 ชนิดคือ เดโมเดค, ซาคอปเตส และ ไรในรูหู

เดโมเดค (Demodectic mites หรือ Demodex bovis)

เจ้าตัวเดโมเดคติก ไมท์ ทำให้เกิดโรคผิวหนังที่ชื่อว่า เดอโมไดโคซิส (Demodicosis) ซึ่งจัดเป็นโรค mange ชนิดหนึ่ง เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์แปดขาขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อยู่ในขุมขนของสุนัข สัตวแพทย์ต้องนำผิวหนังมาขูดแล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถึงจะเห็นเดโมเดค สามารถก่อให้เกิดขี้เรื้อนเปียก หรือแห้ง ขึ้นอยู่กับว่าการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนหรือไม่ ในการรักษา เนื่องจากมันอยู่ลึกไปในขุมขน ทำให้ยากต่อตัวยาที่จะแทรกซึมลงไปถึงตัวมัน

เดโมเดคมีชื่อเฉพาะซึ่งแตกต่างกันไปตามแหล่งที่พบในสัตว์แต่ละประเภท ที่มีชื่อสปีชีว่า เคนิส หรือเดโมเดค เคนิส (Demodex Canis) หลายๆ คนไม่ทราบว่าคนเราก็มีเดโมเดคอาศัยอยู่เช่นกัน แต่คนละสปีชีกับสุนัข ดังนั้น เดโมเดคในสุนัขไม่สามารถติดต่อมาถึงคนได้ เพราะคนกับสุนัขมีความห่างทางเครือญาติ หรือมีวิวัฒนาการแตกต่างกันมาก แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกัน

เดโมเดค เป็นไร 8 ขาที่ขนาดเล็กมาก รูปร่างของมันยาวรี คล้ายสัตว์ประหลาดหรือหนอนมากกว่า มันมีขนสั้นมาก ซึ่งน่าจะเรียกว่า buds มกากว่าขา มันดำรงชีวิตโดยการดูดน้ำเลี้ยงน้ำเหลืองจากสัตว์ที่มันไปอาศัย เดโมเดทมีหลายชนิด พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดแตกต่างกันไป บางตำราบอกว่ามันเป็นโฮสต์สเปซิฟิค (Host specific) ก็คือ เดโมเดคชนิดที่พบในสัตว์ชนิดหนึ่งที่ไม่แพร่ข้ามไปมาระหว่างสัตว์ต่างชนิด เช่น เดโมเดคของสุนัขจะไม่ไปติดแมว เดโมเดคของแมวก็จะไม่ไปติดกระต่าย แต่มีผลงานวิจัยเพิ่มเติมเมื่อไม่นานนี้ว่า พบเดโมเดคสามารถติดต่อได้ในสัตว์ที่มีความเป็นเครือญาติใกล้กันได้บ้าง เช่นว่า เดโมเดคของสุนัขบ้านสามารถพบในสุนัขป่าบางชนิดของอเมริกา

ตามธรรมชาติเดโมเดทพบได้ทั่วไปในสุนัขทุกตัว และจะไม่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังตราบใดที่มันยังมีจำนวนน้อย และภูมิคุ้มกันแข็งแรงปกติดี พวกมันจึงจัดเป็นพวก นอร์มัล ฟลอร่า หรือเชื่อที่พบเห็นได้ทั่วไปในร่างกายสัตว์ที่ปกติ เดโมเดคถ่ายทอดกันโดยการสัมผัสโดยตรงเท่านั้น (Direct contact) การสัมผัสโดยตรงจากแม่สุนัขถึงสุนัขแรกเกิดช่วงระยะแรกของชีวิตเท่านั้น มีผลงานวิจัสนับสนุนมานานแล้วว่าเดโมเดคถ่ายทอดโดยวิธีนี้ เขาพบว่าการผ่าท้องคลอดแล้วแยกลูกสุนัขออกมาเลี้ยงเอง ลูกสุนัขชุดนั้นไม่พบเดโมเดค แต่ถ้าให้คลอดตามธรรมชาติ ก็ยังมีโอกาสที่ลูกสุนัขจะได้รับเชื้อจากปากช่องคลอด ตามทฤษฎีนี้เชื่อว่าเดโมเดคไม่ถ่ายทอดจากสุนัขโตตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง แม้ว่าจะเลี้ยงด้วยกัน และเดโมเดคอยู่ในขุมขนของสุนัขเท่านั้น ไม่อยู่ภายนอกร่างกายสุนัขหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น พื้นคอก กรง จานชาม ดังนั้น กรณีการติดต่อผ่านชามสุนัขทีทำความสะอาดแล้วก็ตาม จึงไม่ใช่กรณีของเดโมเดค ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นต้องทำการทรีตหรือใส่ยาฆ่าเชื้อตามอุปกรณ์ต่างๆ หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก เหมือนกรณีของไรบางชนิด หรือกรณีของเห็บ แต่อย่างไรก็ตาม โรคผิวหนังที่เกิดจากเดโมเดค ยังควรจะต้องให้ความระมัดระวังในเรื่องของความสะอาด เพื่อสุขภาพอนามัยของคอก และป้องกันการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อนในสุนัขป่วย

ซาคอปเตส (Scabies)

ซาคอปเตส หรือ ไรที่เรียกว่า ซาคอปติกไมท์ (Sarcoptic mites) เป็นไรขนาดเล็ก 8 ขาเช่นกัน แต่จะอยู่ในชั้นผิวหนังที่ตื้นกว่าเดโมเดค มีเพียงเจ้าตัวเมียที่จะวางไข่เท่านั้น พวกมันจะพยายามขุดผิวหนังในชั้นที่ลึกลงไปเพื่อวางไข่ ช่วงจุดนี้เองจะทำให้สุนัขมีอาการคันมาก (เดโมเดคก่อให้เกิดอาการคันเช่นกันแต่ไม่มากเท่าซาคอปเตส) การที่มันอยู่ในผิวหนังที่ไม่ลึกนัก ทำให้ง่ายต่อการรักษาเดโมเดค แต่ปัญหาของเจ้าตัวนี้คือ มันสามารถติดต่อถึงคนหรือผู้เลี้ยงได้ เพระาว่ามันเป็นเชื้อโรคตัวเดียวกันกับโรคหิดในคน แต่เป็นคนละชนิด แต่โชคดีที่ว่ามันเพียงดูดกินน้ำเหลืองจากมนุษย์เท่านั้น ไม่สามารถแพร่พันธุ์ในผิวหนังมนุษย์ได้ ทำให้วงจรของมันไม่ครบวัฎจักรในผิวหนังมนุษย์ พอตัวแก่ตาย ไข่ก็ไม่สามารถฟักเป็นตัว ทำให้โรคผิวหนังที่ติดซาคอปเตสจากสุนัขในคนสามารถหายเองได้

สิ่งที่น่ากลัวอีกประการของซาคอปเตสที่เราพึงระวังคือ การแพร่ระบาดมันสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วและติดต่อง่ายโดยการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสุนัขกับสุนัข หรือสุนัขกับคน ดังนั้นการสัมผัสสุนัขที่เป็นโรค ควรจะล้างมือทำความสะอาดทุกครั้ง และไม่ควรเกาตัวเวลาที่มือสกปรก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในกาติดซาคอปเตสมากขึ้น

ไรในรูหู

ไรในรูหู เจ้าตัวนี้หรือโอโทเดคเตสจะอยู่ในรูหูสุนัขทำให้สุนัขมีอาการคัน ทำให้เกิดการระคายเคือง และทำให้สุนัขขับขี้หูออกมามาก ดังนั้น สุนัขที่เป็นไรในหูจะพบขี้หูปริมาณมาก และมีสีคล้ำหรือดำ อีกประการหนึ่งคือ ขนาดของเจ้าตัวไรหูประเภทนี้จะโตกว่าสองตัวแรก จึงอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นจุดเล็กๆ สีขาว

ไรประเภทนี้มีหลายชื่อ เดโมเดคทำให้เกิดโรคผิวหนัง คือ mange แต่ฝรั่งเรียกชื่อเดียวกันนี้แตกต่างกันไปตามอาการหรือแหล่งที่อยู่ของมัน เช่น กรณีที่เป็นไรอยู่ในรูขุมขน สร้างความระคายเคืองกับเนื้อเยื่อรอบๆ อักเสบ เป็นสีแดง ทำให้ขนหลุดร่วง ฝรั่งบางคนจึงเรียกว่าเป็น red mange หรือการที่มันอยู่ในรูขุมขน บางคนจึงเรียกมันว่า folicular mange

การเกิดเดโมไดโคซิส

เมื่อลูกสุนัขได้รับเชื้อเดอโมเดคจากแม่ของมัน มันจะยังไม่แสดงอาการเนื่องจากอาจเป็นไปได้ว่าพวกมันยังได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่สุนัขอยู่ ตำราต่างประเทศบอกว่าลูกสุนัขจะมีอาการของโรคผิวหนังจากเดโมเดคช่วง 4 เดือนไปแล้ว ฝรั่งเรียกว่า Puppy Mange

การเกิดอาการโรคผิวหนัง เนื่องมาจากภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขไม่สามารถควบคุมการเพิ่มของจำนวนเดโมเดคได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันหรืออิมมูนลูกสุนัขยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นแข็งแรงมากขึ้นตามการเจริญเติบโตของร่างกาย ดังนั้นปกติสุนัขที่มีอาการของโรคเดโมเดคสามารถหายเองได้ (self heal of self cure) เมื่อลูกสุนัขเจริญวัยขึ้น มีภูมิคุ้มกันขึ้นจนสามารถควบคุมการเพิ่มของเดโมเดคในตัวของมันได้ เดอโมไดโคซิสที่พบในลูกสุนัขส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะที่ เช่น บริเวณรอบดวงตา หน้าอก หรือแข้งขา เป็นรอย ขนร่วง คล้ายๆ มีแมลงมาแทะ การหลุดร่วงเฉพาะที่ ฝรั่งจะเรียกว่า localized

มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสุนัขในเมืองไทย ซึ่งเราจะพบบ่อยมากว่าลูกสุนัขแรกเกิดเพียงไม่กี่วันก็พบอาการแล้ว แสดงว่าภาวะเดโมเดคในเมืองไทยค่อนข้างเข้าขั้นวิกฤตคงจะไม่ผิดนัก อย่างไรก็ตามสัตวแพทย์ถือว่าการเป็นเดโมไดโคซิสเฉพาะที่ของสุนัขนั้นไม่ผิดปกติ เมื่อลูกสุนัขโตขึ้น อาการดังกล่าวก็จะหายไปเอง เมื่ออายุไม่เกิน 11 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ พัฒนาเต็มที่แล้ว แต่ในสุนัขที่ถือว่าเป็นโรคจะไม่เป็นเช่นนั้น อาการขนหลุดร่วงจะไม่เป็นเฉพาะที่อีกต่อไป แต่จะพัฒนาเข้าสู่รูปแบบหรือฟอร์มที่ 2 คือ มีอาการลุกลาม (Generalized Form) พบเห็นอาการหรือวิการได้ทั่วตัว และอาการไม่หายไปแม้ว่าลูกสุนัขจะเจริญวัยขึ้น ขั้นนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องการการรักษาแล้ว และเป็นเครื่องชี้ชัดว่าสุนัขตัวนั้นมีความผิดปรกติบางอย่างในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน

การรักษาโรคเดโมเดคเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบที่สำคัญที่สุดระบบหนึ่งของร่างกายสุนัข คือ ระบบภูมิคุ้มกัน การที่ปล่อยให้เดโมไดโคซิสในลูกสุนัขหายเอง และไม่ควรไปทรีตยาอะไรเนื่องจากเขาต้องการจะให้แน่ใจว่าลูกสุนัขตัวนั้นมีภูมิคุ้มกันที่ปกติหรือไม่ เพราะถ้าลูกสุนัขเป็นลูกสุนัขปกติแล้ว เราไปทำการรักษา ไม่ปล่อยให้หายเอง เท่ากับไปยอมรับแล้วว่าสุนัขตัวนั้นเป็นโรคและการใช้ยาก็จะมีผลต่อการทำงานของภูมิลูกสุนัขตัวนั้นต่อไป นั่นคือ แม้ว่าเราจะสามารถควบคุมจำนวนเดโมเดคในลูกสุนัขตัวนั้นด้วยยาได้ แต่ลูกสุนัขตัวนั้นคล้ายๆ กับว่าจะต้องพึ่งการรักษาไปตลอดชีวิตของมัน จึงมีโอกาสเป็นโรคเดอโมไดโคซิสได้อีก

เดโมเดคกับพันธุกรรม

เดโมเดคไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่เนื่องจากความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสุนัข เราจึงควบคุมและระมัดระวังเดโมเดคเหมอนกับโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพราะว่าภูมิคุ้มกันสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ สุนัขโตทีเ่ป็นโรคผิวหนังจากเดโมเดคเป็นเครื่องแสดงถึงการมีภูมิคุ้มกันที่ปกติ และจะถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกต่อไป ลูกของมันจึงมีโอการเป็นเดอโมไดโคซิสสูงขึ้นไปอีกด้วย สัตวแพทย์จึงแนะนำไม่ให้ทำการผสมสุนัขโตที่เคยเป็นเดโมเดคเด็ดขาด แม้วว่าตอนผสมจะได้รับการรักษาอาการที่ผิวหนังให้หายไปแล้วก็ตาม ข้อเท็จจริงนี้ทำให้เดโมเดคระบาดในเมืองไทยมาก เนื่องจากคนไทยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการควบคุมการผสมพันธุ์ เห็นได้ชัดจากกรณีหมาจรจัด หรือจะเป็นหมาที่เลี้ยงตามบ้านหรือตามคอกก็ตาม

ความน่ากลัวของเดโมเดค

เนื่องจากเดโมเดคไม่ได้เกิดจากความสกปรก แต่เกิดจากเดโมเดคซึ่งสัตวแพทย์บางท่านให้ความเห็นว่า บางตัวไม่สามารถรักษาให้หายได้ นี่คือความน่ากลัวของเดโดเดค เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถสร้างสารที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานไม่สมบูรณ์ ไมสามารถควบคุมการเพิ่มจำนวนของมันได้อีกต่อไป ความน่ากลัวประการต่อมาคือ มีตัวยาเพียงไม่กี่ชนิดที่จะแทรกซึมเข้าไปถึงตัวเดโดเดคได้ เนื่องจากมันอยู่ลึกลงไปในขุนขน ซึ่งยากต่อการเข้าถึง

เหตุผลประการสำคัญที่ไม่สามารถรักษาเดโมเดคในสุนัขบางตัวได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขตัวนั้นล้มเหลว ไม่ตอบสนองต่อยาต่างๆ (Failure of the immune system) อีกประการหนึ่งก็คือ สุนัขตัวนั้นเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น มะเร็ง, เบาหวาน

การตรวจและวินิจฉัย

สัตวแพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อเดโมเดคด้วยวิธีการใช้ใบมีดขูดผิวหนังและนำไปส่องกล้องจุลทรรศน์ หรือทำการไบออฟซี่ ซึ่งเป็นการตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อไปวิจัย (Skin scrapping and Biopsy) เนื่องจากเดโมเดคอยู่ลึกจนมีเลือดซึมออกมาก การบีบผิวหนังบริเวณที่มีอาการแล้วขูด จะเพิ่มโอกาสให้ขูดพบเชื้อได้ง่ายขึ้น

สัตวแพทย์จะวินิจฉัยว่าสุนัขตัวนั้นเป็นเดอโมไดโคซิส เมื่อมี 2 ปัจจัยพร้อมกัน คือ หนึ่ง ตรวจพบเชื้อจำนวนมาก และสองมีอาการร่วมหรือวิการแสดงทางผิวหนัง

การรักษา

ในสมัยก่อนคนโบราณใช้กำมะถัน น้ำมันก๊าด หรือน้ำหน่อไม้ดองมารักษาสุนัขที่เป็นขี้เรื้อน ตัวยาพื้นบ้านเหล่านี้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากไรได้เท่านั้น ไม่ใช่เดโมเดค อาจจะรักษาได้ในกรณีของซาคอปเตสอยู่ชั้นผิวหนังที่ตืนกว่า แต่ยาเหล่านี้ไม่อาจจะแทรกซึมหรือฆ่าเดโมเดคได้เลย ยาที่ต่างประเทศนิยมใช้คือ Mitaban (เป็น amitraz) ตัวหนึ่ง ซึ่งจัดเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง รักษาด้วยการจุ่มหรือแช่ยาสุนัขทั้งตัว (ยกเว้นส่วนหัว) หรือจะใช้ฟองน้ำชุบ ซึ่งวิธีการเหล่านี้อยู่ประเภท Dipping ด้วยความเข้มข้นของตัวยาประมาณตั้งแต่ 2 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตขึ้นไป (ควรปรึกษาสัตวแพทย์ เพราะความเข้มข้นมีความสำคัญต่อการรักษา ถ้าเข้มข้นน้อยไปไรก็ไม่อาจตาย แต่ถ้ามากไปก็จะเป็นพิษต่อสุนัข) ยานี้มีผลข้างเคียงในสุนัขบางตัว หรือต่อคน ทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ วิงเวียน อาเจียน ถ้าอาการข้างเคียงไม่หายเองใน 24 ชั่วโมง ควรไปพบแพทย์หรือสัตวแพทย์พร้อมนำฉลากยาไปด้วย

ทำการจุ่ม Amitraz จำนวน 6-8 ครั้งติดต่อกัน แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที แต่ละครั้งห่างกัน 1-2 อาทิตย์ และต้องทำติดต่อกันไป 6-8 ครั้ง ซึ่งการรักษาจะมีการสังเกตอาการภายนอกร่วมกับการขูดดูเชื้อผ่านกล้องจนกว่าจะไม่เจอวิการ ขูดไม่เจอเชื้อ สุดท้ายจึงหยุดทรีตยา

มีข้อแนะนำว่าก่อนทรีต Amitraz ผิวหนังของสุนัขต้องแห้งและสะอาด สัตวแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยา Benzoylperoxide มีสรรพคุณเปิดรูขุมขนให้กว้างขึ้น เพื่อให้ยา Amitraz ซึมเข้าไปมากขึ้น หลังจากแช่ Amitraz นาน 10-15 นาทีดังกล่าว ก็นำสุนัขขึ้นจากบ่อยาโดยปล่อยให้ยาแห้งไปเอง โดยไม่ต้องล้างหรือเช็ดตัวยาออก

ถ้าเป็นเยอะมากควรพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาให้ถูกวิธีนะคะ เพื่อน้องหมาที่น่ารักของคุณ

มีเรื่องตลกที่หนูอยากนินทาเอ้ยเล่าให้ฟังค่ะ คือหลังจากกลับจากโรง'บาลซึ่งก็ค่ำแล้ว พระจันทร์ขึ้นแล้วหล่ะ ป่าป๊ากับหม่าม้าก็เลยรีบจัดโต๊ะของไหว้ต่างๆเพื่อทำพิธีไหว้พระจันทร์จนแล้วเสร็จ รุ่งเช้าหม่าม้าจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้เอาขนมไหว้พระจันทร์ไปไหว้ด้วย เพราะมันอยู่ในกล่องอย่างเดิมบนตู้เย็น (ฮา)

วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ บ๊ายบาย

ไมโล(เปียก)





Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีจ้า

อีกสองวัน(3 ตุลาคม)ก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์อีกแล้ว(ได้กินขนมอีกแล้ว ดีใจ๊ดีใจจัง) อยากรู้มั้ยว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์มีความเป็นมาอย่างไร ที่จริงเทศกาลนี้มีที่มาหรือตำนานต่างๆมากมาย แต่หนูจะขอเลือกมาให้อ่านดังนี้ค่ะ

วันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลางเดือน คือวันที่ 15 ถ้าเป็นตรุษจะเป็นวันที่ 1 ของเดือน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน และถือเป็นวันกลางเดือนของเดือน กลางฤดูใบไม้ร่วง ด้วยว่าประเทศจีนนั้นแบ่งวันเวลา เป็น 4 ฤดูกาล ฤดูหนึ่งมี 3 ดวง คือ ชุง แห่ ชิว ตัง คือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ตามมลำดับ

วันไหว้พระจันทร์มีความเกี่ยวข้องกับปฏิทินจันทรคติอย่างแนบแน่น ตามปฏิทินจันทรคติของจีนนั้น เดือน 8 เป็นช่วงกลางของฤดูใบไม้ร่วง ส่วนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ก็เป็นช่วงกลางของเดือน 8 เช่นกัน ฉะนั้น วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 จึงถูกเรียกว่า "จงชิว" (Zhong Qiu) แปลว่า "กลางฤดูใบไม้ร่วง" มีความเชื่อกันโดยทั่วไปว่า ในวันดังกล่าว เราจะสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้เต็มดวงใหญ่ที่สุดกลมที่สุดและสว่างที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงมีกิจกรรมต่างๆ มากมายในช่วงวันไหว้พระจันทร์ เช่น การเซ่นไหว้พระจันทร์ การคำนับพระจันทร์และการชมพระจันทร์ เป็นต้น

ความเป็นมาที่เก่าแก่ที่สุดของวันไหว้พระจันทร์นั้นมาจากพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์ในสมัยโบราณของจีน หนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า คำว่า "จงชิว" (Zhong Qiu) นี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน สมัยนั้นมีพระราชพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงโดยพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ในทัศนะของคนโบราณนั้น หากพระจันทร์ไม่มอบน้ำค้างให้แก่โลก และหากไม่มีจันทร์เสี้ยวและจันทร์เพ็ญมาช่วยคำนวณเวลาทำนาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อุดมสมบูรณ์ "เยว่ถาน" (Yue Tan) หรือ "หอบวงสรวงพระจันทร์" ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของกรุงปักกิ่งก็เป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์ของกษัตริย์จีนโบราณ สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ก็มีการสร้าง "สถานเซ่นไหว้พระจันร์" "เก๋งไหว้พระจันทร์" และ "ศาลาชมจันทร์" หลายต่อหลายแห่งเช่นกัน ในส่วนของนิทานปรัมปราที่เกี่ยวข้องกับพระจันทร์นั้นก็มีมากมาย

เช่นมีอยู่เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า พระเจ้าถังเสวียนจงของราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ทรงปรีชาสามารถและชำนาญในศาสตร์ต่างๆ มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ขณะที่พระองค์กำลังทอดพระเนตรไปยังจันทร์เพ็ญนั้นก็มีพระราชประสงค์ขึ้นมาในบัดดลว่า อยากจะไปท่องพระจันทร์ ในที่สุดด้วยอิทธิฤทธิ์ของเซียน ก็บันดาลให้พระองค์เหาะไปถึงพระจันทร์ และทรงเห็นวิมานหลังหนึ่งชื่อว่า "วิมานกว่างหานกง" ซึ่งมีนางฟ้ากลุ่มหนึ่งกำลังระบำรำฟ้อนอย่างงดงามไปตามจังหวะดนตรีอันไพเราะจับใจ ถึงกับทำให้พระองค์ทรงเคลิบเคลิ้มไปกับความงามนั้น ต่อมาเมื่อกลับถึงแดนมนุษย์แล้ว พระองค์ก็นำเสียงดนตรีที่เคยได้ยินมาจากวิมานพระจันทร์นิพนธ์แต่งเป็นบทเพลงชื่อว่า "เสื้อสายรุ้ง" บทเพลงนี้ไพเราะเพราะพริ้งและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ตำนานเรื่องดวงจันทร์ของชาวจีน เรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ "

เรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ " ปรากฎเป็นครั้งแรกในยุคต้นของสมัยจั้นกว๋อ (สมัยสงครามระหว่างรัฐ) เล่าเรื่องราวของฉังเอ๋อที่ได้กินยาอายุวัฒนะของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ แล้วไปเป็นเทวีแห่งดวงจันทร์ เมื่อถึงสมัยราชวงศ์สุยและถัง เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นมีความนิยมที่จะชื่นชมดวงจันทร์ว่าสวยและดูน่ารักใคร่ ดังนั้นทัศนะที่มีต่อฉังเอ๋อผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ว่าเป็นผู้ที่อ่อนหวาน สวยงาม ฉลาด มีจิตใจดีงาม มีความสามารถในการร้องรำ เป็นต้น มีตำนานอีกเรื่องที่เล่าถึงเทวีแห่งดวงจันทร์ว่า สมัยโบราณนานมาแล้ว โลกเรานี้มิได้มีดวงอาทิตย์เพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น แต่มีถึงสิบดวง นำมาซึ่งภัยพิบัติแต่โลกมนุษย์ ทำให้โลกร้อนระบุเป็นเพลิง ส่วนที่เป็นน้ำก็เหือดแห้งไป ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าแห้งกรอบ ผู้คนไม่มีที่จะไปหลบซ่อนอาศัย ในช่วงนี้เองได้ปรากฎวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ" โฮ่วอี้ " เป็นผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูได้อย่างมหัศจรรย์มาก เขาได้ยิงธนูขึ้นสู่ฟ้า เพียงดอกเดียวก็ยิงถูกดวงอาทิตย์ตกลงมาถึงเก้าดวง เหลืออยู่เพียงแค่ดวงเดียว ถือเป็นการขจัดทุกเข็ญให้กับบรรดาประชาชน ผู้คนจึงพากันยกย่องให้เขาเป็นกษัตริย์ แต่ทว่า พอเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เขาก็ลุ่มหลงในสุราและนารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ กลายเป็นทรราช ราษฎรล้วนแต่โกรธแค้นและชิงชังเขาเป็นที่สุด โฮ่วอี้รู้ตัวว่าตัวเองคงจะอยู่เป็นสุขเช่นนี้ไปได้อีกไม่นาน จึงเดินทางไปที่ภูเขาคุนหลุน (คุนลุ้น) เพื่อขอยาอายุวัฒนะจากเจ้าแม่หวังหมู่มากิน แต่ฉังเอ๋อ ภรรยาของเขากลัวว่าถ้าสามีของเธอมีอายุยืนนานโดยไม่มีวันตายเช่นนี้ ก็จะเข่นฆ่าราษฎรต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจกินยาอายุวัฒนะนั้นเสียเอง แต่พอกินเข้าไป ในฉับพลันทันใด ร่างของเธอก็เบาแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ ยังมีนิทานอีกเรื่องเล่าว่า ศิษย์ของโฮ่วอี้ชื่อ" เฝิงเหมิ่ง " อิจฉาฝีมือการยิงธนูของโฮ่วอี้มาก คอยคิดแต่จะสังหารโฮ่วอี้ อยู่มาวันหนึ่ง เฝิงเหมิ่งถือโอกาสตอนที่โฮ่วอี้ออกไปล่าสัตว์บังคับให้ฉังเอ๋อ ภรรยาของโฮ่วอี้มอบยาอายุวัฒนะให้แก่ตนเอง แต่ฉังเอ๋อไม่ยอม โดยกินยาอายุวัฒนะที่มีอยู่ทั้งหมดลงท้องไป ผลก็คือ ร่างของเธอเบา และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ในที่สุด นับแต่นั้นมา บนดวงจันทร์ก็ปรากฎนางฟ้าผู้งดงามและจิตใจดีเช่นฉังเอ๋อนี้

ท่ามกลางกระบวนการวิวัฒนาการนั้น วันไหว้พระจันทร์ก็มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา คือได้รับการนิยามว่าเป็น "วันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว" เพราะชาวจีนเห็นว่า วงกลมของพระจันทร์เปรียบเสมือนการครบถ้วนบริบูรณ์ของสมาชิกครอบครัวนั่นเอง ฉะนั้น ชาวจีนจึงนิยมอยู่กันพร้อมหน้าในวันไหว้พระจันทร์ รับประทานอาหารร่วมกัน รอจนถึงเวลาที่จันทร์เพ็ญลอยกระจ่างฟ้า ก็จะกางโต๊ะในลานกลางแจ้ง จัดผลไม้ขนมขบเคี้ยวและอาหารอื่นๆ หลากหลายไว้บนโต๊ะ แล้วจึงเซ่นไหว้พระจันทร์ด้วยกัน ขอให้มีความสุขและความบริบูรณ์กันถ้วนหน้า

"เยว่ปิ่ง" (Yue Bing) หรือ "ขนมไหว้พระจันทร์" (Moon Cake) เป็นของกินที่ขาดเสียไม่ได้ในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ มีการจำหน่ายกันล่วงหน้าก่อนวันไหว้พระจันทร์ประมาณ 1 เดือน แต่หลังจากวันไหว้พระจันทร์ผ่านไปแล้วก็จะไม่มีผู้ซื้ออีก ขนมไหว้พระจันทร์จะทำเป็นรูปวงกลม จะสอดไส้ชนิดต่างๆ เช่น งา อบเชย ถั่วลิสงและถั่วบด เป็นต้น นอกจากนี้ของพี่ไทยยังมีขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนกวน ไข่เค็ม ซึ่งอร่อยสุดยอดไม่เหมือนใครอีกด้วย

เนื่องด้วยความสำคัญพิเศษของวันไหว้พระจันทร์ ทำให้ผู้ที่พลัดถิ่นจากบ้านเกิดมีความคิดถึงบ้านอย่างสุดซึ้งในวันไหว้พระจันทร์ กาพย์กลอนที่เกี่ยวข้องกับพระจันทร์ก็มีมากมายเหลือคณาเช่นกัน ล้วนถ่ายทอดให้เห็นถึงหัวอกของคนคิดถึงบ้านที่ฝากไว้กับพระจันทร์ อย่างเช่น "เงยหน้ามองจันทร์แจ่มฟ้าผ่องอำไพ ก้มหน้าไซร้คิดถึงบ้านเกิดตน" โดยหลี่ไป๋ กวีสมัยราชวงศ์ถัง และ "จันทร์เพ็ญลอยเด่นเหนือมหานที แม้นยามนี้ไกลกันสุดฝันหา ถึงจะอยู่คนละฝั่งฟากฟ้า ยังหรรษาชมเดือนดวงเดียวกัน" เป็นต้น ล้วนเป็นกลอนที่เสมือนหนึ่งเสียงจากใจของลูกหลานจีนที่อยู่ไกลในต่างแดนทั่วโลกในคืนวันไหว้พระจันทร์

ประเพณีไหว้พระจันทร์นั้นนอกจาก ประเทศไทยแล้ว ประเทศอื่นๆทั่วโลกที่มีชน ชาวจีนไปตั้งถิ่นฐาน ก็จะปฏิบัติเช่น เดียวกัน คือทุกปีในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด ชาวจีนจะตั้งโต๊ะจัดของสักการะบูชาพระจันทร์ เพื่อเป็น การขอพรให้กับครอบครัวและให้กับชีวิตของ ตนเอง ของแต่ละอย่างบนโต๊ะก็จะมีความหมาย ต่างๆ กันไปหากวิธีการจัดโต๊ะของแต่ละประเทศก็ จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งของที่หาได้และผลไม้ ในประเทศที่มีซึ่งโดยปรกติก็จะไม่ฟันธงกำหนด ตายตัว หากแต่ผลไม้ที่ใช้ก็จะเน้นให้เป็นผลกลมเพื่อ ความกลมกลึงของชีวิตและหมายถึงความกลมของ พระจันทร์

แต่ที่จะขาดไม่ได้เลยคือขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งจะเป็นขนมอบใส่ไส้ผลไม้กวนหรือถั่วแดงกวน เม็ดบัว และไข่เค็มเฉพาะไข่แดง สิ่งของอย่างอื่นๆ บนโต๊ะก็จะประกอบไปด้วยสิ่งละอันพันละน้อย ที่มีความ หมายแตกต่างกันไปอย่างเข่น ขนมอี้ ซึ่งเป็นแป้งลูกกลมๆสีแดงสดใสใส่ในน้ำเชื่อมหวาน ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตที่หวานสดชื่น

ขนมโก๋ ที่เป็นแป้งหวานสีขาว รูปทรงต่างๆ ลวดลายสวยงามเพื่อเป็นการขอผิว พรรณที่ขาวสวย ผลไม้ต่างๆ 5 ชนิดที่มีผลกลม เหมือนพรที่ขอเพื่อให้ชีวิตสุขสดชื่นรวมไปถึง ชีวิต ครอบครัวที่มีความสุขความสามัคคี ในบ้านเจดีย์น้ำตาล เป็นตัวแทนของ ปราสาทแห่งสวรรค์ถั่วหวานขนมหวาน เคลือบน้ำตาล ขนมเปี๊ยที่มีอักษรมงคล ประทับสีแดงอยู่กลางขนม ของประดับอื่นๆ ก็จะมีกระดาษรูปเซียน 8 องค์ คำกลอนต่างๆ ในกระดาษสีแดงสดใส เทียนดอกใหญ่ สีแดงที่เขียนคำขอพรไว้ กิ่งหลิว ดอกไม้สีสัน สดสวยอ้อยต้นโตเพื่อนำมาทำ เป็นซุ้มประตู โคมไฟลวดลายงามตา

การตั้งโต๊ะจะต้องตั้งให้เรียบร้อยก่อน พระจันทร์จะลอยสูงเกินขอบฟ้า และเก็บก่อนที่ พระจันทร์จะเลยหัวไปหรือเมื่อเทียนดอก ใหญ่ดับลง หันโต๊ะไปทางทิศตะวันออก โดยเริ่มด้วยซุ้มประตูที่ทำจากต้นอ้อยผูกโคมไฟ ไว้กับต้นอ้อย ให้สวยงามวางกระถางธูป เทียนไว้ด้าน หน้าสุด ดอกไม้วางไว้สองข้าง ขนมอี้ใส่ถ้วยแล้วแต่ พื้นที่บนโต๊ะจะอำนวย 5 - 8 ถ้วยก็ได้วางถัดมา แล้วนำ เจดีย์น้ำตาลวางไว้สองข้างถัดจาก ขนมอี้ ขนมเปี๊ยใส่ จานจัดไว้ถัดมา ใต้เจดีย์อาจนำคำกลอนในกระดาษ แดงมาวางก็ได้ผลไม้ 5 ชนิดจัดวางตาม ความ สวยงาม ต่อด้วยขนมไหว้พระจันทร์ที่จัดเป็น เรียงชั้นๆ ขนมโก๋ และขนมหวานเคลือบน้ำตาลต่างๆ รอบโต๊ะวางประดับประดาด้วยกระดาษลวดลาย ต่างๆ ที่มี อย่างไรก็ดีการจัดตั้งโต๊ะนั้นไม่ตายตัวเสมอไป แล้วแต่ใครมีวิธีการที่ ต่างกันไปเน้นความสวยงามเป็น หลักดังนั้น ใครคิดว่าจัดอย่างไรจึงสวยที่สุดก็ให้จะจัด กันตามนั้น

พิธีไหว้

1. ไหว้เจ้าในช่วงเช้า ของไหว้จัดปกติ เหมือนจัดของไหว้เจ้าปกติ แต่เพิ่มขนมไหว้พิเศษ คือ ขนมไหว้พระจันทร์, ขนมโก๋, ขนมเปี๊ยะ

2. ของไหว้บรรพบุรุษ ของไหว้จัดปกติ เหมือนจัดของไหว้บรรพบุรุษปกติ แต่เพิ่มขนมไหว้พิเศษ คือ ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้อะไรก็ได้, ขนมโก๋ต่าง, ขนมเปี๊ยะต่างๆ แล้วแต่เลือก ผลไม้ไหว้พิเศษ ส้มโอผลใหญ่ๆ สวยๆ

3. ของไหว้เจ้าแม่ในตอนค่ำ
- ของคาว อาหารเจแห้ง 5 อย่าง คือ วุ้นเส้น, ดอกไม้จีน, เห็ดหูหนู, เห็ดหอม, ฟองเต้าหู้
- ขนมไหว้ ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้อะไรก็ได้ ที่ไม่มีไข่แดงเค็ม และ ต้องไม่ใช่ไส้โหงวยิ้ง หรือเมล็ด 5 อย่าง เพราะไส้โหงวยิ้ง มีใส่มันหมูแข็ง จึงเป็นของชอ คือมีคาว แต่ไหว้เจ้าแม่ ต้องไหว้อาหารเจ
- ขนมโก๋ มีหลายชนิดเช่น ขนมโก๋ขาว คนจีนเรียก “แป๊ะกอ” แป๊ะ แปลว่า สีขาว กอ คือขนม ก็มีอีกหลายแบบ ทั้งแบบ แผ่นกลม ใหญ่แบน ๆ ปั๊มทำลายนูนสวยงาม มีทั้งแบบกลมเล็ก ๆ ที่มีทั้งแบมีไส้และไม่มีไส้ แล้วยังมี ทำแบบ แท่งสี่เหลี่ยม มีไส้ก็มี ไม่มีไส้ก็มี , โก๋เหลือง หรือโก๋ถั่ว มีไส้ที่นิยม เช่น ไส้ทุเรียน ไส้งาดำ, โก๋เช้ง น่าสนใจที่สุด เพราะคนไทยไม่ค่อยรู้จัก นิยมทำเป็นแผ่นกลมใหญ่ ขนาดเท่าขนมโก๋ขาว เป็น แผ่นกลมแบนสีเหลืองตุ๋น ๆ เพราะผสมน้ำส้มเช้ง และบางเจ้า มีใส่เม็ดกวยจี๊ ที่แกะเปลือกแล้วด้วย เวลาเคี้ยวโดนจะกรุบกรับอร่อยดี และขนมโก๋อ่อน หรือหล่ากอ ก็ทานอร่อย เหนียว ๆ ยืด ๆ หนืด ๆ นิ่ม ๆ มีสอดไส่ถั่วบดหวานมันอร่อย ไส้งาดำก็มี
- ผลไม้ อะไรก็ได้เหมือนปกติ และเพิ่มพิเศษ ส้มโอใหญ่ๆ สวยๆ
- เครื่องดื่ม ใช้ชาน้ำหรือชาใบ หรือมีทั้งสองแบบ
- กระดาษเงิน ค้อซี, กอจี๊
- กระดาษเงิน-ทองพิเศษ 1. เนี้ยเก็ง หรือวังเจ้าแม่กวนอิม 2. โป๊ยเซียนตี่เอี๊ย คือ กระดาษ เงินกระดาษทองลายโป๊ยเซียน 3. กระดาษเงินกระดาษทองแบบจัดทำพิเศษสวยวาม เช่น กิมก่อง คือ โคมคู่. สัปปะรด. อ้วงมึ้ง หรือผ้าม่าน, เนี้ยเพ้า คือ ชุดเจ้าแม่พระจันทร์ ถ้าไหว้เจ้าแม่พระ จันทร์ หรือกวนอิมเนี้ยเพ้า ถ้าคิดว่าการไหว้ของเราเป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิม
- ของไหว้พิเศษอื่นๆ เครื่องใช้อุปโภค หรือสบู่ แชมพู ยาสีฟัน แป้ง เครื่องสำอาง ผ้าเช็ดหน้า อะไรก็ได้ที่เราใช้ประจำ เครื่องประดับ และ อ้อยลำยาวๆ ตัดจากราก และ เอายอดด้วยผูกไว้ ที่ด้านหน้าโต๊ะไหว้ ยึดกับขาโต๊ะ แล้วทำขึ้นไปเป็นซุ้มประตู แล้วตกแต่งสวยงาม พร้อมดอกไม้ ใส่แจกันประดับโต๊ะไหว้
- จำนวนธูปไหว้ 3 ดอก หรือ บางบ้านใช้ธูปไหว้พิเศษ เป็นธูปมังกรดอกใหญ่ดอกเดียว หรือ ดอกย่อมๆ 3 ดอก เช่นเดียวกับ เทียนแดงคู่
- เวลาไหว้ ไหว้หัวค่ำ บางบ้านขอบไหว้สาย เพื่อคอยเวลาให้พระจันทร์เต็มดวง

เป็นอย่างไรบ้างคะอ่านแล้วอยากกินแล้วใช่มั้ย ส่วนหนูหน่ะน้ำลายไหลนองพื้นแล้ว แต่เสียงป่าป๊าพูดกับหม่าม้าแว่วมาตามลมว่าจะไม่ให้หนูกินขนม กลัวหนูอ้วน แง้...ป่าป๊าใจร้าย

ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่าน มีความสุขในวันไหว้พระจันทร์ และมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกันในครอบครัว ดุจดังความกลมเกลียวของดวงจันทร์(วันเพ็ญเต็มดวงนะ)

ไมโลผู้แสนเศร้า
Related Posts with Thumbnails