PitaPata Dog tickers
Riding Momory
สวัสดีค่ะ


วันนี้หนูมีเรื่องจะเม้าท์เกี่ยวกับตัวหนูและหนุ่มๆทั้งหลาย เนื่องจากที่ป่าป๊าเค้าแปลกใจว่าทำไมหนูจึงมีหนุ่มๆมารุมจีบเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเดินหรือวิ่งไปไหนเจ้าพวกนี้ก็จะคอยตามไปตลอด จนบางครั้งป่าป๊าก็เอาไม้เท้าตีสุนัขซึ่งอ้างว่าเป็นของปรมาจารย์อั้งชิกกง(หนูว่าโม้แน่ๆ)ฟาดท่ามังกรคะนองกลางนาไปในอากาศเสียงดังเฟี้ยวฟ้าวเพื่อปรามไม่ให้เข้ามาใกล้มากนัก ที่จริงแล้วเจ้าพวกหนุ่มๆเค้าจมูกไวได้กลิ่นความเป็นสาว(female's hormones)ของหนูนั่นเองเพราะไม่กี่วันต่อมา( 10 พย. )หนูก็มีประจำเดือนหรือฮีต(Heat cycles)ออกมาที่จโม๊ะ(ก็ที่ใกล้ๆกับก้นนั่นแหละ)ซึ่งมีอาการบวมแดงของหนู ที่จริงน่าจะเรียกประจำปีดีกว่าเพราะน้องหมาอย่างหนูเนี่ยจะเป็นฮีตปีละ 2 ครั้ง เริ่มครั้งแรกก็ตอนนี้ละ คือประมาณอายุ 6 -12 เดือน แล้วแต่พันธุ์เล็กใหญ่ อย่างหนูเป็นน้องหมาพันธุ์ใหญ่ก็จะเป็นฮีตช้ากว่าพวกพันธุ์เล็กๆค่ะ โดยปกติแล้วช่วงที่มีฮีตของน้องหมาจะมีประมาณ 18 - 21 วันค่ะ อีกไม่กี่วันหนูก็คงหยุดไปเอง และอันนั้นก็น่าจะหายบวมแดงไปด้วย


ช่วงนี้ป่าป๊ากับหม่าม้าก็ชอบบ่นเกี่ยวกับกลิ่นสาบสาวอันรุนแรงของหนู โดยเฉพาะช่วงวันที่ 9 - 14 ของการมีฮีตเป็นช่วงที่กลิ่นสาบสาวหนูแรงมากๆ(คือสามารถมีความรักกับหนุ่มๆได้แล้ว แต่จริงๆแล้วควรจะรอให้เป็นสาวสมบูรณ์กว่านี้ ตอนมีฮีตครั้งที่สองครั้งที่สาม หรืออายุได้ปีครึ่งถึงสองปี เพราะการผสมพันธุ์แต่ละครั้งนั้น จะทำให้ทั้งน้องหมาตัวผู้และน้องหมาตัวเมียมีร่างกายอ่อนแอ อาจทำให้ตัวเมียแก่เร็วและมีสุขภาพไม่แข็งแรงเท่าที่ควร) สังเกตุได้จากช่วงนั้นหนูจะมีแฟนคลับเยอะมากทั้งที่ไม่ได้เปิดตัวตามสื่อไหนๆเลย มีทั้งที่หนูรู้จักเช่น พี่โมนี่, เจ้าท็อบบี้, เจ้าปอร์โต้, น้าเฉาก๊วย(น้าเค้าเป็นหมาไทยสีดำมีอายุแล้วล่ะ เพราะฟันเริ่มร่วงแล้ว แต่คงจะยังมีไฟอยู่)และที่ไม่รู้จักก็อีกหลากสีหลายตัวเลยทีเดียว ทำให้หนูสับสนในชีวิตมากเลยเนี่ยเพราะพวกหนุ่มๆแทบจะกัดกันตายเพื่อจะมาดอมดมหนู แถมบางตัวก็ใจกล้าแอบมุดเข้ามาทางซี่รั้วบ้านตอนกลางคืนเจอป่าป๊าไล่แทบมุดหนีไม่ทัน แต่ป่าป๊ากับหม่าม้ากลับทำจมูกฟุดฟิดเวลามาเปิดกรงให้หนู ทำอย่างกับหนูเป็นปลาเค็มยังงั้นแหละ มิน่าล่ะช่วงนี้เค้าจะกอดจะหอมหนูแค่วันที่หนูอาบน้ำแล้วเท่านั้น ชักจะเริ่มขาดความอบอุ่นแล้วนะเนี่ย


อ้อ ช่วงที่หนูเริ่มมีประจำปีวันแรกๆ หนูก็มีอาการหงุดหงิดนิดหน่อยเลยส่งเสียงอิ๊ดๆอ๊าดๆจนป่าป๊าดุเอาบ้าง มีอยู่วันนึงหนูปวดท้องอึซึ่งอาจจะเกี่ยวกับที่หนูมีฮีตหรือเปล่าก็ไม่รู้ หนูก็ส่งเสียงร้องอย่างว่าเพื่อเรียกป่าป๊าให้มาเปิดกรง(ประมาณตีสาม)ป่าป๊าก็ไม่ยอมตื่นสักที หนูทนไม่ไหวก็เลยปล่อยซะในกรงเลย ทีนี้มันก็มีกลิ่นอบอวนอยู่ในนั้น หนูเลยเห่าใหญ่เลยจนป่าป๊าต้องลุกมาเปิดกรงให้พร้อมทั้งเอ็ดหนูไปด้วย แต่พอเห็นประจำปีหนูป่าป๊าก็เลยเข้าใจ(แต่ไม่เห็นเอาขนมมาขอโทษหนูเลย นิสัย ไม่ดี)

ถ้าคุณๆผู้อ่านเลี้ยงน้องหมาตัวเมียอยู่ละก็ ช่วยเข้าใจเค้าหน่อยนะคะอย่าไปดุเค้ามากเหมือนป่าป๊าหนูนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ


สาวน้อย ไมโล




Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีค่ะ

เจอกันอีกแล้วนะคะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะท่านผู้อ่านทุกท่านหวังว่าคงสบายดีทุกท่านนะคะ และต้องขออภัยแทนป่าป๊าที่เป็นคนทำให้ล่าช้าอีกแล้ว นี่ถ้านิ้วมือ(เท้า)หนูยาวๆหน่อยหนูจะพิมพ์เองเลย ไม่ต้องพึ่งบริการแบบตามใจฉันของป่าป๊าก็ได้


วันก่อน(18 พย.)ป่าป๊าไปดูหนังเรื่อง 2012 มากับหม่าม้าและพี่ช้าง ป่าป๊าเล่าให้ฟังว่าเป็นหนังที่ตื่นเต้นน่ากลัวเกี่ยวกับการล้างโลก คล้ายๆกับตอนที่น้ำท่วมโลกเนื่องจากพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน จึงทรงดำริว่า กวาดล้างมนุษย์ไปเสียจากแผ่นดินโลก ทั้งมนุษย์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศด้วย แต่ด้วยทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นคนดีและศรัธทาในพระเจ้า พระองค์จึงทรงบอกเหตุการณ์น้ำท่วมโลกให้โนอาห์ทราบ พร้อมทั้งทรงมอบแผนผังรูปแบบเรือที่ใช้ในการช่วยชีวิตของโนอาห์ให้รอดพ้นจากการถูกล้างโลกในครั้งนั้น เป็นที่มาของ เรือโนอาห์ นั่นเอง(จากพระธรรมปฐมกาล wikipedia)

เนื้อเรื่องก็เกี่ยวกับการสิ้นโลกตามที่ได้ปรากฎอยู่เป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน หลายศตวรรษมาแล้ว ชาวเผ่ามายันมีความเชื่อและคำทำนายไว้ว่า วันที่โลกจะดับสูญคือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตุพบการระเบิดปะทุของดวงอาทิตย์อย่างรุนแรง และได้แผ่คลื่นแม่เหล็กเข้มข้น ส่งผลให้เปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ก่อให้เกิดแผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด เกิดอภิมหาสึนามิ น้ำท่วมโลก แต่สามปีก่อนหน้านั้นผู้นำชาติ G8 ได้ช่วยกันลงขันสร้างยานยักษ์ 8 ลำสำหรับบรรทุกคนและสัตว์ที่คัดเลือกไว้(รวมทั้งผู้มีเงินจ่าย1,000 ล้านเหรียญ)เพื่อสืบทอดเผ่าพงศ์ต่อไป แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้ขึ้นยาน แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวเอกของเรื่องคนหนึ่งเห็นว่าถ้าสละความสะดวกสบายเสียบ้างก็จะมีพื้นที่ให้คนได้รอดชีวิตเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง

ป่าป๊าชอบคำพูดของเขาที่พูดทำนองว่า

มนุษย์เราจะสืบทอดต่อไปทำไม เพราะเราได้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปแล้วเมื่อเราปล่อยให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือ


ป่าป๊าบอกเป็นหนังที่น่าดู ตื่นเต้น เร้าใจ กราฟฟิคสุดยอด ดูแล้วก็ให้แง่คิดดีเหมือนกัน เช่น คนเรามันก็แค่นี้ ไม่มีอะไรยั่งยืน แม้แต่โลกสักวันก็ต้องแตกดับ ทุกวันนี้ก็มีแสดงให้เห็นบ้างแล้ว เช่น ปรากฏการณ์โลกร้อน น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น แต่อย่าไปวิตกกังวลเกินเหตุ ตั้งจิตให้รู้เท่าทัน ไม่ใช้ชีวิตแบบประมาท ใส่ใจในคนรอบข้างและใส่ใจในสิ่งแวดล้อมบ้าง น่าจะช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นเยอะนะคะ

แล้วพบกันใหม่ หวังว่าโลกคงจะไม่สิ้นในเร็ววันนี้นะคะ

ไมโล


ภาพวันสิ้นโลกจาก กระปุกดอทคอม


Bookmark and Share
Riding Momory
สวัสดีวันลอยกระทงใหญ่(ที่เชียงใหม่)ค่ะ

เป็นไงกันบ้างคะ เมื่อคืนได้ไปลอยกระทงกันหรือเปล่าคะ ก็ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยลอยไปกับกระทง และขอให้มีความสุขสดใสดั่งเดือนเพ็ญคืนวานนี้กันทุกๆคนนะคะ ส่วนหนูเมื่อคืนก็ได้แต่แหงนมองพระจันทร์ตอนที่ป่าป๊าเล่าเรื่องกระต่ายบนดวงจันทร์ให้ฟังว่า


กาลครั้งหนึ่ง เมื่อสมัยที่ สัตว์ต่างๆ ต้นไม้ คน พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวยังพูดภาษาเดียวกันอยู่มีกระต่ายตัวหนึ่งเป็นกระต่ายช่างสงสัย ได้สงสัยว่า ใครกันนะที่เก่งที่สุด จึงไปสอบถามสัตว์อื่นๆว่า คิดว่าใครเก่งที่สุด
กระต่ายถามงู งูตอบว่า "พังพอนไงเขาสามารถสู้กับงูได้ บางทีก็ชนะด้วย"
กระต่ายจึงไปถามพังพอน พังพอนตอบว่า"สิงโต ไงเพราะสิงโตเป็น เจ้าป่า"
กระต่ายจึงถามสิงโต สิงโตตอบว่า"ช้างต่างหาก เพราะ เขาตัวใหญ่ ไปที่ไหนใครๆก็กลัว"
กระต่ายจึงไปถามช้าง ช้างตอบว่ากลัวพระอาทิตย์เพราะพระอาทิตย์ร้อน ช้างต้องหนีไปลงน้ำเวลาแดดออกจ้า กระต่ายก็ยังไม่ยอมพัก มันกระโดดขึ้นไปบนภูเขา เพื่อให้ใกล้กับพระอาทิตย์ และถามพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ตอบว่า "ฉันไม่ได้เก่งที่สุดหรอก มีกลางวันก็มีกลางคืน เมื่อพระจันทร์ขึ้นมา
ฉันก็ต้องจากไป ถ้าฉันเก่งจริงๆ ก็ต้องมีแต่กลางวัน ไม่มีกลางคืนแน่ๆ"
กระต่ายจึงไปถามพระจันทร์ เมื่อขึ้นมาทางขอบฟ้า กระต่ายจึงเล่าให้ฟังว่าคุยกับสัตว์ต่างๆ และพระอาทิตย์มา แต่ละคนก็คิดว่าคนอื่นเก่งกว่าตัวเอง แต่กระต่ายก็ยังหาไม่ได้สักทีว่าใครนะที่ "เก่งที่สุด" พระจันทร์จึงตอบว่า "ทุกคนก็เก่งกันทั้งนั้น ในเรื่องที่ตัวเองถนัด เพราะฉะนั้นทุกคนจึงเก่งที่สุด อย่างเช่นพระอาทิตย์ ก็เก่งในเรื่องการส่องแสงสว่างแก่โลก ต้นไม้ก็ช่วยเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจน สิงโตเป็นเจ้าป่า ดังนั้นถ้าลองคิดดีๆ ทุกคนก็มีหน้าที่มีบทบาทของตัวเอง และมีสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด เก่งที่สุด เพียงแต่ว่าต้องหยุด แล้วก็คิดเท่านั้นว่าเราทำอะไรได้เก่งที่สุด"

ป่าป๊าเล่าจบก็หันมาเห็นหนูมองเป็นเชิงถามว่า แล้วเมื่อไหร่กระต่ายจะขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ซะทีละคะ ป่าป๊าเลยบอกว่าอ๋อ มันเป็นกระต่ายคนละตัวกันหน่ะ (อ้าว) ป่าป๊าเห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง อีกตัวนึงที่อยู่บนดวงจันทร์มีเรื่องว่า

ครั้งหนึ่งมีกระต่าย ลิง นาก และสุนัขจิ้งจอก สาบานร่วมกันว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบำเพ็ญตนเป็นฤๅษีอยู่ในป่า พระอินทร์อยากทดสอบในศรัทธาของสัตว์ทั้งสี่ จึงปลอมตัวเป็นพราหมณ์เที่ยวขอบริจาคทาน โดยไปขอจากลิงเป็นตัวแรก ลิงมอบมะม่วงให้ จากนั้นพราหมณ์ก็ไปขอทานจากนาก นากถวายปลาซึ่งมาตายเกยตื้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็ถวายนมหม้อหนึ่งและผลไม้แห้ง

เมื่อพราหมณ์เข้าไปขอบริจาคทานจากกระต่าย กระต่ายพูfกับพราหมณ์ว่า “ข้ากินแต่หญ้าเป็นอาหาร หญ้าก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับท่านเลย” พราหมณ์จึงเอ่ยขึ้นว่า ถ้ากระต่ายบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษีที่แท้จริงแล้ว ขอให้สละชีวิตของตนเพื่อเป็นอาหารแก่พราหมณ์ กระต่ายตอบตกลงทันทีและทำตามที่พราหมณ์ขอร้องว่าให้กระโดดเข้ากองไฟเอง พราหมณ์จะได้ไม่ต้องลงมือฆ่าและปรุงกระต่ายเป็นอาหาร กระต่ายปีนขึ้นยืนบนก้อนหินและกระโดดเข้ากองไฟ ในขณะที่ร่างกระต่ายกำลังจะตกสู่เปลวเพลิงนั้น พราหมณ์ได้คว้าตัวกระต่ายไว้ แล้วเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าคือใคร พระอินทร์นำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกได้เห็นกระต่าย และรับรู้ว่ากระต่ายคือตัวอย่างแห่งการเสียสละตนอันยิ่งใหญ่

ฟังจบแล้วหนูก็พยายามเพ่งดูก็ไม่เห็นกระต่ายซักตัวเลย คนนี่ช่างจินตนาการจริงๆเนาะ ยังมีตำนานที่เกี่ยวกับกระต่ายกับพระจันทร์อีกเยอะลองหาอ่านดูในเน็ทเอาเองนะคะ

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.catholic.or.th และ guru.sanook.com นะคะ)


วันนี้หนูอยากจะแนะนำเพื่อนๆของหนูให้คุณรู้จักกันนะคะ ตัวแรกเลยก็นี่เลย พี่โมนี่(Monie) หนุ่มหล่อชาวไซบีเรียน ฮัสกี้(Zyberian Husky) หน้าตาเหมือนหมาป่า ตาสีฟ้าแบบฝรั่ง ขนสีเทาเข้ม-ขาว หางเป็นพวง ท่วงท่าการเดินสง่างาม สรุปว่าหล่อแบบหมาฝรั่ง มีนิสัยดี ไม่เกเรเห่าหรือกัดไปเรื่อย แต่ไม่ค่อยยอมใคร ไม่กระโดกกระเดกเหมือนหนู เจอกันครั้งแรกหนูยังเล็กอยู่เลย อายุประมาณสามสี่เดือนได้ พี่เขาเดินมาดมๆหนูแล้วก็เล่นกับหนูตั้งแต่วันนั้น หลังๆนี้หนูตัวโตขึ้นจนมีน้ำหนักมากกว่าพี่เขา เวลาเล่นกัน หนูชอบกระโดดเข้าใส่จนบางครั้งพี่โมนี่ก็สู้แรงหนูไม่ไหวล้มกลิ้งไปเลยก็มี แต่พ๊่เค้าเป็นสุภาพสุนัขไม่เคยทำร้ายหนูเลยแถมยังคอยช่วยไล่งับตัวอื่นที่เข้ามาแกล้งหนู เช่น เจ้าปอร์โต้(ไซบีเรียน), เจ้าโบ้(บ็อกเซอร์) เป็นต้น ที่จริงพวกนี้ไม่ได้จะกัดหนูหรอกแต่ชอบเล่นแรงๆ แบบว่าใช้เท้าเขี่ยๆตบๆ หรือวิ่งนัวเนียไปเรื่อย ทำให้พี่เค้าคงรำคาญ เอ หรือว่าพี่เค้าจะหึงหนูหว่าเพราะพวกนั้นเป็นผู้ชายทั้งนั้น อะอะ อย่าเข้าใจผิดว่าหนูเป็นน้องหมาใจแตกนะ หนูยังเด็กอยู่เลย ไม่สนร้อกเรื่องรักหน่ะ สู้เรื่องกินก็ไม่ได้ แค่คิดก็มีความสุขแล้ว

พี่โมนี่มีเจ้าของชื่อพี่เบิร์ด อายุเท่าๆกับพี่ช้าง ปกติพี่เบิร์ดมักจะเป็นคนจูงพี่โมนี่เดินเที่ยวในหมู่บ้านทั้งตอนเช้าและตอนเย็น แต่บางวันก็เปลี่ยนให้คุณพ่อพี่เบิร์ดเป็นคนพาเดินบ้าง คุณพ่อพี่เบิร์ดเป็นคนเชียงใหม่ แต่มาฝังรกรากที่กรุงเทพฯหลังจากเรียนจบแล้วมาทำงานที่นี่ คุณแม่พี่เบิร์ดเป็นคนกรุงเทพฯ พี่เบิร์ดมีน้องสาวสองคน คนโตเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น ส่วนคนที่สองเพิ่งไปเรียนที่เกาหลีเมื่อไม่กี่เดือนนี่เอง ส่วนพี่เบิร์ดก็ช่วยคุณพ่อซึ่งเป็นวิทยากรเวลาไปบรรยายตามที่ต่างๆทั่วประเทศ


ตัวที่สองก็เป็นชาวไซบีเรียนเช่นกันแต่อายุน้อยกว่าหนูสักสองสามเดือนเห็นจะได้ มีชื่อว่าปอร์โต้น่าจะมาจากชื่อตัวละครเด็กชายคนหนึ่ง(แสดงโดย น้องแพทริค ด.ช.ชานนท์ มกรมณี) เรื่องคุณแม่จำแลง ออกอากาศทางช่องสามเมื่อตอนต้นๆปี นำแสดงโดยชาคริต แย้มนาม และธัญเรศ (รามณรงค์)เอ็งตระกูล และดาราเด็กหญิงชื่อสุชาดา เช็คลีย์ เป็นเรื่องของพ่อหม้ายลูกติดที่รักและห่วงลูกจนต้องปิดบังและหลอกลูกโดยการปลอมตัวเป็นแม่เพราะกลัวว่าลูกจะมีปมด้อย ขาดความอบอุ่น ฝ่ายนางเอกก็มีปัญหาครอบครัวเช่นกัน มีสามีชอบเล่นการพนัน คอยแต่รีดไถและใช้กำลัง จนเธอต้องตัดสินใจทำเรื่องยื่นฟ้องขอหย่าขาดกับสามี มาเจอกันกับพระเอกโดยมีลูกๆของทั้งสองเป็นตัวเชื่อม ก็เป็นละครที่สนุกดี

มาเรื่องของหมาต่อดีกว่าสำหรับเจ้าปอร์โต้ก็มีขนสีน้ำตาลแดง(ทองแดง)-ขาว ลูกกะตาก็ออกน้ำตาลแดง หางเป็นพวงสวยเหมือนโมนี่ ตัวเล็กกว่าพี่โมนี่หน่อย แต่ถ้าโตเต็มที่ก็คงจะพอๆกันแหละ หมอนี่เป็นหมาที่โค-ตะ-ระซนและวิ่งเร็วมาก ขนาดป่าป๊าว่าหนูซ้นซฯแล้วนะยังต้องอึ้งทึ่งส่าย(ทั้งอึ้งทั้งทึ่งแล้วยังส่ายหน้าด้วย)ให้เค้าเลย ตอนเล็กๆเจ้าปอร์โต้ชอบมุดรั้วเข้ามาเล่นกับหนู เรียกว่าเข้ามาป่วนซะดีกว่าเพราะชอบคาบของเล่นของขบเคี้ยวของหนูแล้ววิ่งหนีไปรอบบ้านเลย แถมยังเคยอึ๊ให้ป่าป๊าเก็บหนึ่งครั้ง ล้าง(เพราะมันเหลวๆเก็บไม่ได้)อีกหนึ่งครั้งแน่ะ ตอนหลังป่าป๊าเอาเช์อกมาผูกประตูรั้วกั้นไม่ให้หมายิปซี(จรจัด)เข้ามาได้ เจ้าปอร์โต้เลยมุดเข้ามาไม่ได้ไปด้วย เดี๋ยวนี้หนูไม่ค่อยได้เล่นกับเจ้านี่เลยเพราะที่บ้านเค้าก็เอาตะแกรงเหล็กมาผูกกับรั้วไม่ให้มันออกมาได้ คงไล่จับมันไม่ไหวแล้วมั้ง หนูก็เลยได้แค่ไปแวะดมๆทักทายมันตอนที่เดินผ่านหน้าบ้านเวลาไปเดินออกกำลังกับป่าป๊า สม เอ้ยสงสารมันเนอะ

เจ้าของปอร์โต้มีบ้านอีกที่หนึ่งอยู่แถวบ่อนไก่ ใกล้สวนลุมพินี จึงไปๆมาๆ แต่จะมีลูกชายคนโต วัยเดียวกับพี่ช้างชื่อพี่ตู่อยู่ที่นี่ ถ้าวันไหนพี่ตู่ว่างเจ้าปอร์โต้ก็จะได้ออกมาวิ่งข้างนอกบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยตรงกับเวลาที่หนูเดินหรอก พี่ตู่มีหลานชายซึ่งเป็นลูกของน้องสาว อายุประมาณห้าหกขวบชื่อ น้องเฟิร์ส ตัวอวบๆน่าฟัดชมัดเลย เฟิร์สจะมานอนที่บ้านนี้เย็นวันศุกร์แล้วกลับวันอาทิตย์ ปีหน้าถึงจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เฟิร์สเป็นเด็กฉลาด ช่างพูด ชอบมาเล่นกับหนูมากกว่าที่จะเล่นกับเจ้าปอร์โต้ซะอีก หนูก็ชอบเล่นกับเฟิร์สเหมือนกัน(ก็หนูเป็นหมารักเด็กไง) โดยเฉพาะตอนเล่นลูกบาส แต่ป่าป๊าจะเหนื่อยกว่าพวกหนูอีก เพราะต้องคอยจับคอยดึงหนูไม่ให้กระโดดชน กระแทก หรือลากน้องเค้า ก็แหมเวลาเล่นเป็นเวลาที่หนูชอบมากที่สุด พอกับการกินเลยทีเดียว แล้วเวลาเล่นมันก็สนุกชิม้าหนูก็เลยเล่นเต็มที่เลย น้องเค้าเล่นสู้ไม่ได้เองนี่นา

ว้า ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว วันหลังหนูค่อยมาเล่าเรื่องเพื่อนๆของหนูตัวอื่นๆให้ฟังอีกนะคะ บ๊ายบาย

ไมโล(ผู้แปลงร่างไม่ได้ในคืนวันเพ็ญ)


ไซบีเรียนฮัสกี้(Siberian Husky) (รัสเซีย: Сибирский хаски, Sibirskiy Haski) เป็นสุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน มีต้นกำเนิดทางตะวันออกของไซบีเรีย เพาะพันธุ์มาจากสุนัขในวงศ์สปิตซ์ มีลักษณะขน 2 ชั้นฟูแน่น, หางรูปเคียว, หูเป็นรูปสามเหลี่ยมตั้งชัน และลายที่เป็นลักษณะเฉพาะ

แข็งแรง คล่องแคล่ว เต็มไปด้วยพลังและยืดหยุ่น เป็นคุณสมบัติที่สืบทอดจากบรรพบุรุษที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงของไซบีเรีย และการเพาะพันธุ์ของชาวชุกชี (Chukchi) ที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย มันถูกนำเข้ามาในอะแลสกา ระหว่างช่วงตื่นทองที่เมืองนอมน์ (Nome) และแพร่เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาในฐานะสุนัขลากเลื่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นสุนัขเลี้ยงตามบ้านในภายหลังอย่างรวดเร็ว

ลักษณะทั่วไป
ไซบีเรียนฮัสกี้มีรูปร่างลักษณะภายนอกคล้ายกับอลาสกันมาลามิวเช่นเดียวกับสายพันธุ์อื่นๆที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขวงศ์สปิตซ์เช่นซามอย ไซบีเรียนมีขนหนาแน่นกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น มีสีและรูปแบบขนที่หลากหลาย โดยปกติมีสีขาวที่เท้า, ขา, ท้อง, รอบตาหรือเป็นหน้ากากที่หน้า และที่ปลายหาง ทั่วไปมีสีดำ-ขาว, เทา-ขาว, ทองแดง-ขาว, และขาวปลอด และยังมีแบบที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะ เช่น สีอ่อน แต้มจุด แว่นตา ฯลฯ บางครั้งก็มีลักษณะคล้ายหมาป่าเกิดขึ้น แม้ว่าในการพัฒนาพันธุ์ไม่มีความใกล้ชิดกับหมาป่าหรือสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดเลย คิดว่าเกิดจากการเพาะพันธุ์ที่ไซบีเรียแล้ว

ตา
สีตาของไซบีเรียนฮัสกี้ที่เป็นที่ยอมรับมีสีฟ้าหรือน้ำตาลเข้ม, เขียว, น้ำตาลอ่อน, เหลือง/อำพัน, "แก้วตาหลายสี" หรือตาเฮเซล(Hazel) เป็นจุดบกพร่องร้ายแรงที่แสดงวงสีต่างกันในแก้วตา รวมถึงตาข้างนึงสีน้ำตาลอีกข้างสีฟ้า (complete heterochromia) หรือตาข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างมีสี "แบ่งส่วน" น้ำตาลครึ่งฟ้าครึ่ง (partial heterochromia) นี่คือสีตาทั้งหมดที่ถูกพิจารณายอมรับโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกา ตาต้องเป็นรูปอัลมอนด์ เว้นระยะห่างกันปานกลาง วางตัวเฉียงเล็กน้อย

หูและหาง
หูเป็นรูปสามเหลี่ยม, มีขนสมบูรณ์, ขนาดกลาง, และตั้งชัน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยๆในการพัฒนาพันธุ์โดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข เช่นสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (สหรัฐอเมริกา) ที่มีรูปหูที่เรียกว่าหูผึ่ง(prick ears) มันหางเป็นพู่เหมือนหางหมาจิ้งจอกรูปเคียวโค้งเหนือหลังและลากหางไปด้านหลังเมื่อเคลื่อนไหว ไซบีเรียนฮัสกี้ส่วนมากมีสีขาวตรงปลายหาง[2]หางต้องไม่โค้งจนแตะหลังเหมือนสปิตซ์ สีออกแกมขาว

ขน
ขนของไซบีเรียนฮัสกี้มี 2 ชั้น ขนชั้นในที่หนาแน่นและขนชั้นนอกที่ยาวกว่า ขนชั้นนอกยาวตรงและบางส่วนเหยียดเรียบไม่ชี้ชันตั้งตรงจากลำตัว ที่สามารถปกป้องมันจากความรุนแรงของฤดูหนาวขั้วโลกเหนือได้ แต่ขนที่หนานั้นทำให้มันยากที่อยู่อย่างสบายได้ในฤดูร้อน ส่วนขนยาวแบบที่เรียกว่า "ฮัสกี้ขนแกะ(wooly huskies)" นั้นไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่มีสิทธิ์ลงแข่งในสนามประกวด

จมูก
จมูกของไซบีเรียนฮัสกี้มีสีดำในสีเทาในสุนัขสีแทนและสีดำ สีเลือดหมูในสุนัขสีทองแดง และอาจจะมีสีเนื้อในสุนัขสีขาว ไซบีเรียนฮัสกี้บางตัวมีจมูกที่เรียกว่า "จมูกหิมะ" เป็นสภาวะที่เรียกว่าผิวด่าง(hypopigmentation)ในสัตว์ และสุนัขที่มี "จมูกหิมะ" นั้นสามารถลงประกวดได้ ในสุนัขระดับประกวดไม่ค่อยจะมีจมูกทรงแหลมหรือสี่เหลี่ยมนัก

ขนาด
เพศผู้
สูง : 21 - 23.5 นิ้ว (53.5 - 60 ซ.ม.)
น้ำหนัก : 45 - 60 ปอนด์ (20.5 - 28 กิโลกรัม)
เพศเมีย
สูง : 20 - 22 นิ้ว (50.5 - 56 ซ.ม.)
น้ำหนัก : 35 - 50 ปอนด์ (15.5 - 23 กิโลกรัม)

อารมณ์
ไซบีเรียนฮัสกี้ก็เหมือนสุนัขใช้งานทั่วๆไปที่มีพลังงานสูงต้องการการออกกำลังมาก มันควรได้รับการปฏิบัติแบบเพื่อนเดินทางและสุนัขลากเลื่อนไม่ใช่สุนัขอารักขา การรวมกันของปัจจัยนี้ส่งผลให้ไซบีเรียนฮัสกี้มีจิตประสาทที่สุภาพอ่อนโยนและซื่อสัตย์
ชาวอินูอิต(Inuit)พัฒนาสายพันธุ์นี้ขึ้นมาเพื่อใช้ลากเลื่อนหนักเป็นระยะทางไกลๆและสามารถเอาตัวรอดได้การภูมิประเทศที่หนาวเย็นแบบทรุนดรา(tundra)และช่วยในการล่าสัตว์

พฤติกรรม
พฤติกรรมของไซบีเรียนฮัสกี้ถูกมองว่าเป็นตัวแทนบรรพบุรุษของสุนัขบ้าน นั่นก็คือหมาป่า มันแสดงออกในรูปแบบพฤติกรรมของเทือกเถาเหล่ากอแบบกว้างๆ[8] บ่อยครั้งที่ชอบหอนมากกว่าเห่า การแสดงออกที่มากเกินไปเกิดจากการถูกขับด้วยสัญชาตญาณในการล่า บุคลิกลักษณะของสุนัขที่เกิดจากการเพาะพันธุ์บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดในพฤติกรรมการละเล่นไล่จับสิ่งต่างๆในสิ่งแวดล้อมที่สุนัขแสดงออกมาคล้ายกับสุนัขล่าเนื้อมากกว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง มันชอบวิ่งเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะจากประวัติการเพาะพันธุ์ในอเมริกาเหนือ ในการฝึกสุนัขให้เชื่อฟังคำสั่งควรใช้เวลา 15 นาที/วันดีที่สุด และทำทุกๆวัน

สุขภาพ
ไซบีเรียนฮัสกี้มีอายุเฉลี่ยราวๆ 12 - 16 ปี ข้อบกพร่องในตาแต่กำเนิดที่พบจากการเพาะพันธุ์ เช่น ต้อกระจกนิ่ม, กระจกตาเจริญผิดเพี้ยน, และจอตาฝ่อรุกลาม การเจริญผิดปรกติของเอวก็พบได้บ่อยเช่นกันในการเพาะเลี้ยงเหมือนกับสุนัขขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ทั่วไป
ไซบีเรียนฮัสกี้ที่เป็นสุนัขลากเลื่อนอาจมีโรคอื่นๆอีก เช่น โรคกระเพาะ, หลอดลมอักเสบ, และแผลในกระเพาะ

ประวัติ
ในสุนัขทุกสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาพันธุ์เป็นผลมาจากบรรพบุรุษเดียวกันนั่นคือสุนัขป่าโบราณ(วงศ์ Canidae) สุนัขเอซคิโม (สุนัขลากเลื่อน) เป็นสุนัขที่มีภาพลักษณ์กระตือรือร้นอย่าง ไซบีเรียนฮัสกี้, ซามอย, และอลาสกันมาลามิว ที่สืบสายตรงจากสุนัขลากเลื่อน การวิเคราะห์ดีเอ็นเอที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ช่วยยืนยันว่ามันเป็นหนึ่งในสุนัขที่มีการเพาะเลี้ยงมาแต่โบราณดังที่เห็นได้จากอลาสกันมาลามิว

คำว่า "ฮัสกี้ (husky)" ได้มาจากชื่อที่ใช้เรียกชาวอินนูอิต (Inuit) ว่า "ฮัสกี้ส์ (huskies)" โดยคณะสำรวจคนขาว (Caucasian) คณะแรกๆที่มาถึงแผ่นดินของพวกเขา ส่วนคำว่า "ไซบีเรียน (Siberian)" ได้มาจากไซบีเรียนั่นเองเนื่องจากความคิดที่ว่าสุนัขลากเลื่อนนี้ถูกใช้ในการข้ามสะพานแผ่นดินของช่องแคบเบอร์ริ่งที่เป็นทางเข้าสู่หรือออกจากมลรัฐอะแลสกา, ซึ่งทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้า สุนัขที่สืบเชื้อสายมาจากสุนัขเอซคิโมสามารถพบได้ตลอดซีกโลกด้านเหนือจากไซบีเรียถึงประเทศแคนาดา, มลรัฐอะแลสกา, กรีนแลนด์, ลาบราดอร์ (Labrador), และเกาะบัฟฟินค์ (Baffin Island)

ด้วยความช่วยเหลือของไซบีเรียนฮัสกี้ ประชาชนของชนเผ่าต่างๆไม่เพียงแค่รอดตายเท่านั้นในการออกสำรวจดินแดนที่ไม่มีรู้จัก พลเรือเองโรเบิร์ต เพียร์รี่(Robert Peary)แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาก็ได้รับความช่วยเหลือจากสายพันธุ์นี้ระหว่างคณะสำรวจของเขาออกสำรวจขั้วโลกเหนือ บทบาทของไซบีเรียนฮัสกี้ในกระทำหน้าที่นี้ไม่สามารถเป็นที่หยั่งรู้ได้

สุนัขจากแม่น้ำอานาเดียร์ (Anadyr River) และพื้นที่รอบๆถูกนำเข้ามาในมลรัฐอะแลสกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 (และเป็นเวลา 2 ทศวรรษ)ในช่วงตื่นทองเพื่อใช้เป็นสุนัขลากเลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน All-Alaska Sweepstakes (AAS)หรือการแข่งสุนัขลากเลื่อนทางไกลซึ่งเป็นระยะทาง 408 ไมล์ (657 กม.)จากเมืองนอมน์ (Nome) ถึงเมืองแคนเดิล (Candle) ไปและกลับ "เล็กกว่า, เร็วกว่า และอดทนมากกว่า ในการบรรทุกน้ำหนักราว 100 - 120 ปอนด์ (45 - 54 กิโลกรัม)" มันเป็นส่วนสำคัญใกล้ชิดของผู้เข้าแข่งขันยาวนอมน์ที่มีชื่อเสียง ลีออนฮาร์ด เซพพารา (Leonhard Seppala) ที่เคยเป็นผู้เพาะเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้มาก่อนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 ถึงช่วง ค.ศ. 1920

ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 กันเนอร์ คาเซ็น (Gunnar Kaasen) เป็นผู้นำเซรุ่มไปถึงเมืองนอมน์เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1925 เพื่อรักษาโรคคอตีบ กันเนอร์ได้ออกจากเมืองนีนนานา (Nenana) ไปสู่เมื่องนอมน์เป็นระยะทางมากกว่า 600 ไมล์ ด้วยความพยายามของผู้เดินทางและความช่วยเหลือของสุนัขลากเลื่อน การแข่งขัน Iditarod Trail Sled Dog Race (การแข่งสุนัขลากเลื่อนสู่เมื่องอิดิตทารอต) ที่จัดขึ้นก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการขนส่งเซรุ่มนี้เอง และเหตุการณ์นี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันในปี ค.ศ. 1995 ที่ชื่อ"บอลโต (Balto)" ตามชื่อของสุนัขนำทีมของกันเนอร์ และเพื่อเป็นเกียรติแก่สุนัขนำทีมบอลโต มีการสร้างรูปหล่อเหมือนที่ทำจากทองแดง ตั้งอยู่ในเซ็นทรอล ปาร์คในมลรัฐนิวยอร์ก มีคำจารึกดังนี้

อุทิศแก่จิตวิญญาณที่ทรหดของสุนัขลากเลื่อนที่นำเชื้อต้านพิษบนทางยากลำบากเต็มไปด้วยน้ำแข็ง 600 ไมล์, ข้ามลำน้ำที่แข็งตัว, ฝ่าพายุหิมะของขั้วโลกเหนือจากเมื่องนีนนานาสู่เมืองนอมน์ที่รอความช่วยเหลือให้พ้นจากโรคร้ายในฤดูหนาวปี ค.ศ. 1925 อดทน--ซื่อสัตย์--มีไหวพริบ

ในปี ค.ศ. 1930 ไซบีเรียนฮัสกี้ตัวสุดท้ายถูกนำออกจากรัฐบาลโซเวียดใกล้กับพรมแดนของไซบีเรียเพื่อการแลกเปลี่ยนกับภายนอก ปีเดียวกันมีการจดทะเบียนรับรองสายพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้โดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกาเป็น 9 ปีหลังจากสายพันธุ์นี้ถูกจดทะเบียนในประเทศแคนนาดา ณ.วันนี้ไซบีเรียนฮัสกี้ที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือเป็นลูกหลานส่วนใหญ่ของไซบีเรียนฮัสกี้ที่ถูกนำเข้ามาในปี ค.ศ. 1930 และสุนัขของลีออนฮาร์ด เซพพารา เซพพาราเจ้าของคอกสุนัขในนีนนานาก่อนที่จะย้ายไปอยู่นิวอิงแลนด์ อาเทอร์ วาวเด็น (Arthur Walden) เจ้าของคอกสุนัขชินุก (Chinook) แห่งวอนนาแวมเซิด (Wonalancet) มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ผู้มีไซบีเรียนฮัสกี้ในคอกที่โดดเด่น สุนัขตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคอกของเขามาจากอะแลสกาโดยตรงและมาจากคอกของเซพพารา

ก่อนที่จะมีชื่อเสียง, ในปี ค.ศ. 1933 ว่าที่พลเรือเอกริชาร์ด อี. เบอร์ด(Richard E. Byrd)แห่งกองทัพเรือได้ซื้อสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ราวๆ 50 ตัวด้วยตัวเขาเอง หลายๆตัวถูกรวบรวมและฝึกจากคอกชินุกในมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เพื่อใช้ในคณะสำรวจของเบอร์ดที่เขาหวังจะเดินทางราวๆ 16,000 ไมล์ไปตามชายฝั่งของทวีปแอนตาร์กติกา ที่เรียกว่าปฏิบัติการกระโดดสูง (Operation Highjump) จากประวัติการเดินทางนี้เอง พิสูจน์ให้เห็นคุณค่าไซบีเรียนฮัสกี้เพราะขนาดที่พอเหมาะ และความเร็วที่ดีเยี่ยม กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ใช้ไซบีเรียนฮัสกี้ในการค้นหาและช่วยเหลือในขั้วโลกเหนือของคำสั่งขนส่งทางอากาศระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

การแข่งขันสุนัขลากเลื่อน
บางครั้งไซบีเรียนฮัสกี้ยังถูกใช้เป็นสุนัขลากเลื่อนในการแข่งขันลากเลื่อนแต่บางครั้งการมีการใช้สายพันธุ์อลาสกันฮัสกี้ (Alaskan Husky) ที่เป็นที่นิยมมากกว่าแทนหรือสุนัขล่าสัตว์ที่เกิดจากการพัฒนาพันธุ์เป็นพิเศษโดยเลือกจากความเร็วและขนที่หนาน้อยกว่า ระวางบรรทุกของไซบีเรียนฮัสกี้ที่ถูกพัฒนาพันธุ์อย่างเลือกเฟ้นสามารถดึงน้ำหนักระดับกลางเป็นระยะทางไกลๆด้วยฝีเท้าระดับปานกลางและโดยทั่วไปไม่สามารถทำความเร็วมากกว่านี้ติดต่อกันได้ ไซบีเรียนฮัสกี้ก็ยังเป็นที่นิยมใช้ในการแข่งขัน มันวิ่งได้เร็วกว่าสายพันธุ์สุนัขลากเลื่อนแท้ๆบางสายพันธุ์เช่นซามอย, ช้ากว่าแต่แข็งแรงกว่าอลาสกันมาลามิว ปัจจุบันทิศทางการพัฒนาพันธุ์แบ่งออกเป็นไซบีเรียนฮัสกี้สำหรับ “การแข่งขัน” และสำหรับ “การประกวด”
ในสหราชอาณาจักร การแข่งขันไซบีเรียนฮัสกี้มีขึ้นบนเส้นทางในป่าต้องใช้สามล้อที่ออกแบบพิเศษแทนเลื่อน นิยมแข่งในฤดูหนาว


Bookmark and Share
Related Posts with Thumbnails